Ethereum London Hard Fork เกิดขึ้นใน Block ที่ 12,965,000 เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2021 ซึ่งการ Hard Fork ของ Ethereum ในครั้งนี้ เป็นจุดเริ่มต้นของแผนการพัฒนา Ethereum 2.0 ที่คุณ Vitalik Buterin CEO ของ Ethereum เคยเปิดเผยผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัว โดยการ Hard Fork ในครั้งนี้เป็นที่จับตามองของหลายฝ่าย ทั้งนักพัฒนา นัดขุด และนักลงทุน เนื่องจากมีข้อเสนอที่มีนัยสำคัญต่อระบบนิเวศของ Ethereum นั่นคือ EIP-1559
EIP-1559 เป็นข้อเสนอที่เสนอให้มีการปรับโครงสร้างของค่าธรรมเนียมที่ผู้ใช้งานต้องจ่ายให้กับนักขุด โดยแบ่งค่าธรรมเนียมออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ 1) Base Fee ค่าธรรมเนียมในส่วนนี้จะขึ้นอยู่กับปริมาณความหนักแน่นของธุรกรรมที่เกิดขึ้นใน Block นั้น ๆ ซึ่งจะถูกเผาทิ้ง ซึ่งส่งผลกระทบต่อปริมาณอุปทาน (Supply) ของเหรียญที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และ 2) Tip เป็นค่าธรรมเนียมที่จ่ายให้กับนักขุด เพื่อให้การยืนยันการทำธุรกรรมที่มีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
ภาพแสดง Base Fee และอัตราการเผาเหรียญของ Ethereum หลังจาก London Hard Fork
จากภาพด้านบน เป็นข้อมูล ณ วันที่ 12 สิงหาคม 2021 แสดงค่าธรรมเนียมที่เป็น Base Fee ที่เกิดขึ้นหลัง Block ที่ 12,965,000 พบว่า Base Fee อยู่ในช่วง 30-60 GWei และมีการเผาเหรียญ ETH ไปแล้ว 31,756.8 ETH (มูลค่า 99.7 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 3,000 ล้านบาท)
หลังจากที่ EIP ที่เสนอในการ Hard Fork ในครั้งนี้ ได้รันบน Mainnet อย่างเรียบร้อย คุณ Vitalik Buterin CEO ของ Ethereum ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Bloomberg ใจความว่า London Hard Fork ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ทำให้เขามีความมั่นใจมากขึ้นสำหรับกระบวนการควบรวม Ethereum ในรูปแบบ Proof-of-Work และ Proof-of-Stake เข้าด้วยกัน หรือที่เรียกว่า ‘กระบวนการ Merge’ ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงปี 2022 เนื่องจากการ Ethereum London Hard Fork ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า ระบบนิเวศของ Ethereum พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ ที่มีนัยสำคัญต่อระบบ
นอกจากนั้น ยังมีอีกหนึ่งข้อเสนอที่แสดงถึงการพัฒนาเพื่อนำไปสู่ Ethereum 2.0 นั่นคือ EIP-3554 เสนอโดยคุณ James Hancock เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2021 ซึ่งเป็นการเลื่อนระยะเวลาของการเกิด Difficulty Bomb หรือเป็นการเพิ่มความยากในการขุด Ethereum 1.0 หรือ Ethereum ในรูปแบบ Proof-of-Work ทำให้เมื่อถึงระยะเวลาหนึ่ง นักขุดจะไม่สามารถทำการขุดต่อไปได้ เนื่องจากความยากในการขุดและระยะเวลาในการยืนยันการทำธุรกรรม ซึ่งจะช่วยให้กระบวนการควบรวมสามารถเกิดขึ้นได้ โดย EIP-3554 จะเกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนธันวาคม 2564 มีเป้าหมายเพื่อเตรียมสำหรับการอัปเกรดใน Shanghai Hard Fork ของ Ethereum และ/หรือ กระบวนการ Merge ซึ่งอาจมีการปรับระยะเวลาหรือมีการเปลี่ยนแปลงเรื่อง Difficulty Bomb
ในปัจจุบัน Ethereum 2.0 ยังอยู่ระหว่างการพัฒนา ซึ่งนับตั้งแต่ช่วงเดือนธันวาคม 2020 ได้เห็นพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น Beacon Chain เป็น Chain ที่รองรับการทำธุรกรรมใน Ethereum 2.0 หรือ Ethereum ในรูปแบบ Proof-of-Stake นอกจากนั้นยังมีการเปิดให้ผู้ที่ต้องการเป็น Validator หรือผู้ตรวจสอบการทำธุรกรรมที่เกิดขึ้นในระบบ สามารถนำเหรียญ ETH มา Stake ไว้กับระบบได้แล้ว
ภาพแสดงจำนวน Validator บน Ethereum 2.0
จากภาพด้านบน ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 11 กรกฎาคม 2021 อ้างอิงจาก glassnode พบว่า มีผู้ที่นำเหรียญ ETH มา Stake ในระบบเพื่อเป็น Validator ทั้งสิ้น 195,511 ราย และมีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เปิดให้มีการ Stake ซึ่งการจะเป็น Validator ได้นั้นต้อง Stake ไม่น้อยกว่า 32 ETH หรือในกรณีที่มี ETH น้อยกว่าจำนวนดังกล่าวสามารถเข้าร่วมกับ Staking pool ได้ โดยการที่จะทำให้ระบบนิเวศของ Ethereum 2.0 มีความปลอดภัยสำหรับการโจมตีของผู้ไม่หวังดี ที่ต้องการเข้ามาทำลายระบบ ต้องมี validator ขั้นต่ำ 16,384 ราย ซึ่งในส่วนนี้ อาจสะท้อนให้เห็นถึงความปลอดภัยและความพร้อมของการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาระบบนิเวศของ Ethereum ยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำไปสู่ Ethereum 2.0 ยังคงต้องติดตามการพัฒนาในขั้นตอนต่าง ๆ รวมถึงการ Hard Fork ครั้งถัดไปที่จะเกิดขึ้น
Zipmex