ในช่วงปี 2560 ที่ Bitcoin Cash ได้มีการแยกตัวออกมาอย่างชัดเจนจาก Bitcoin Blockchain ตอนนั้นผู้ที่เชื่อมั่นใน Bitcoin Cash จำนวนหนึ่งถึงกับประกาศออกมาเลยว่า Bitcoin Cash จะต้องได้รับความนิยมเหนือกว่า Bitcoin อย่างแน่นอน คอยดูที่ Market Capitalization ก็ได้ แบบว่าวัดกันไปเลย !
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า Bitcoin Cash (BCH) จะมีบางอย่างที่เหนือกว่า อย่างเช่นความเร็วของ Network แต่มันก็ยังได้รับความนิยมน้อยกว่า Bitcoin อยู่พอสมควร แม้ว่าในเดือนที่ผ่านมา BCH จะมีการ Halving สำหรับรางวัลของนักขุดไปแล้วก็ตาม ความตื่นเต้นที่หลายคนคาดการณ์กลับไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง เพื่อให้ทุกคนเข้าใจถึงเหตุการณ์นี้กันมากขึ้น เราจึงอยากจะมาลงลึกในเรื่องนี้กันครับ
สถานการณ์ปัจจุบัน
การ Halving รางวัลของนักขุดในทุก ๆ 4 ปี
ทุก ๆ 4 ปี รางวัลจากการขุด Bitcoin Cash จะลดลงครึ่งหนึ่ง คล้ายกับเหรียญอื่น ๆ ที่พวกเราเคยได้เรียนรู้กันมาบ้างใช่ไหมครับ สาเหตุที่ต้องทำแบบนี้ก็เพราะว่า ระบบเงินแบบดั้งเดิมที่ธนาคารกลางสามารถพิมพ์เงินเพิ่มเมื่อไหร่ก็ได้แบบไม่จำกัดทำให้เกิดปัญหาตามมามากมาย เช่น เงินเฟ้อ เป็นต้น แต่สินทรัพย์ดิจิทัลนั้นจะมีการระบุอย่างแน่ชัดเลยว่าเหรียญนั้น ๆ จะมีจำนวนทั้งหมดอยู่ที่เท่าไหร่เพื่อต้องการปิดจุดอ่อนเรื่องเงินเฟ้อแบบในปัจจุบัน แต่สิ่งที่ตามคู่กันก็คือจะต้องมีการควบคุมปริมาณเงินที่จะออกสู่ระบบคู่กันไปด้วย ซึ่งการ Halving ก็คือรูปแบบของการควบคุมปริมาณเงินในระบบนั่นเองครับ
เมื่อปริมาณเงินที่จะออกสู่ระบบมีน้อยลงทุก ๆ 4 ปี ตามหลักเศรษฐศาสตร์แล้วราคาของสินทรัพย์นั้นควรจะมีค่าที่มากขึ้น พูดง่าย ๆ คือราคา Bitcoin Cash ควรจะเพิ่มขึ้นนั่นเอง หากไม่เป็นแบบนั้นแล้ว นักขุดทั้งหลายก็จะเริ่มหมดความสนใจในเหรียญนั้นอีกต่อไป เพราะต้นทุนในการทำงานยังเท่าเดิมแต่กลับได้รับรางวัลหรือผลตอบแทนน้อยลง
แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้เป็นไปดังที่ทุกคนคาดหวังเมื่อ Bitcoin Cash มีการ Halving แต่ราคาของเหรียญกลับไม่ขึ้นไปเท่าที่ควร คือถ้ารางวัลลดลงครึ่งหนึ่งจาก 100 เหลือเพียง 50 ราคาควรต้องขึ้นไปกว่า 100 % เพื่อให้มูลค่าที่นักขุดทั้งหลายควรได้นั้นเท่าเดิม แต่เมื่อราคาขึ้นไปเพียงเล็กน้อยนั่นเท่ากับว่าผลรางวัลเมื่อเทียบกับต้นทุน เริ่มไม่คุ้มค่าอีกต่อไป นักขุดเลยพากันหนีไปใช้เหรียญอื่นกันหมด จนเป็นสาเหตุให้การตรวจสอบธุรกรรมนั้นต้องใช้เวลานานขึ้นกว่าเดิม ซึ่งนี่ถือเป็นจุดแข็งของ BCH ที่ต้องการแยกออกมาจาก Bitcoin เมื่อหลายปีก่อน โชคดีที่ทีมหลักที่อยู่เบื้องหลังโครงการได้เริ่มทำการพัฒนาหลายอย่างเพื่อแก้ไขปัญหานี้และทำให้เครือข่ายนี้สามารถผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนั้นมาได้
พัฒนาการของ Bitcoin Cash
จุดเด่นของ Bitcoin Cash อีกอย่างหนึ่งก็คือชุมชนนักพัฒนาของเขาที่กระตือรือร้นมาก เวลาที่เกิดปัญหาต่าง ๆ เราสามารถคาดหวังได้เลยว่าพวกเขาจะใช้เวลาไม่นักในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งนี่คือสิ่งที่ผู้ใช้งานในระบบต้องการเป็นอันดับแรก ๆ เลยครับ
Storm
หนึ่งในข้อจำกัดของสินทรัพย์ดิจิทัลในช่วงแรก ๆ คือเรื่องของความเร็วในการทำธุรกรรม ซึ่งทาง Bitcoin Cash ก็ได้ใช้ระบบ Proof-of-Work ในการยืนยันธุรกรรมที่เกิดขึ้นบนเครือข่าย ซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลาในการที่จะคอนเฟิร์มธุรกรรมที่เกิดขึ้นพอสมควร และเพื่อเป็นการตัดปัญหาของเรื่องความเร็วดังกล่าวนี้ทาง Bitcoin Cash จึงได้ใช้ระบบที่มีชื่อว่า Delta Blocks หรือ Storm ในการมายืนยันธุรกรรมในระบบแบบ Weak Proof-of-Work (PoW) พูดง่าย ๆ คือยืนยันธุรกรรมในเกือบจะทันทีที่มีการโอนเงินให้กัน แต่เหรียญมักมีสองด้านเสมอ คือการยืนยันด้วยความเร็วแบบนี้ อาจจะเกิดความผิดพลาด หรือเกิดการแฮกได้ด้วยครับ
การใช้งาน Cashscript
เราทุกคนต่างคุ้นเคยกับ Solidity ซึ่งก็คือภาษาการเขียนโปรแกรมที่ใช้ในการติดตั้ง Smart Contract บนเครือข่าย Ethereum นั่นเอง ส่วนเครือข่ายของ Bitcoin Cash ใช้สิ่งที่เรียกกันว่า Cashscript ครับ
Cashscript เป็นภาษาโปรแกรมในระดับสูง แต่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในกลุ่มนักคอมพิวเตอร์ในสมัยนี้ นั่นทำให้การใช้ Cashscript กับ Smart Contract ของ Bitcoin Cash ได้รับความสนใจตามไปด้วยเช่นกัน
แผนเงินทุนโครงสร้างพื้นฐาน
ทีมพัฒนาของ Bitcoin Cash เห็นว่ามีบางโหนดที่ปันใจตีจากไปหาเหรียญอื่น ๆ นั่นทำให้จำนวนของเครือข่ายรวมถึงประสิทธิภาพของการยืนยันธุรกรรมลดลงไปด้วย ยกตัวอย่างเช่น ผมเป็นเจ้าของโหนดและมีพลังของคอมพิวเตอร์ในมือมหาศาล เวลาที่ผมทำการสุ่มตัวเลขเพื่อตอบโจทย์สมการหรือ (Hash Function) นั้นจะทำได้รวดเร็วกว่า แต่หากผมหนีไปขุดเหรียญอื่น โหนดที่เหลืออยู่ดันมีกำลังไม่มากพอในการสุ่มตัวเลขด้วยความเร็วสูงแบบนี้ เท่ากับว่าการยืนยันธุรกรรมในระบบนี้จะใช้เวลานานไปด้วย เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับเครือข่าย BCH คือการมุ่งไปที่การปรับปรุงระบบโครงสร้างพื้นฐานของ BCH ให้ดีมากยิ่งขึ้นแทน
ตามแผนการระดมทุนบริจาคคือพวกเขาต้องการ 2-3% จนถึงปี 2564 และต้องการ 1% หลังจากปีนั้น ซึ่งคิดว่าน่าจะเพียงพอที่จะเสริมสร้างความเข้มแข็ง ช่วยให้ BCH เป็นเครือข่ายที่น่าเชื่อถือมากขึ้นในอนาคต
Graphene Version 2
คือการพัฒนาระบบเดิมโดยมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงประสิทธิภาพของโปรโตคอล Graphene เป็นหลัก การดำเนินการนี้จะเกิดขึ้นในสองขั้นตอนที่แตกต่างกัน ในระยะแรกคือเพิ่มประสิทธิภาพของโปรโตคอล Graphene โดยการปรับปรุงประสิทธิภาพของโปรโตคอลที่มีอยู่เดิมโดยจะทำให้ความเร็วเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในช่วงที่สองของการนำไปใช้งาน ส่วนขยายเพิ่มเติมนี้จะถูกเพิ่มไปยังโปรโตคอล Graphene ทำให้มีประโยชน์มากขึ้นในเครือข่าย BCH นั่นเองครับ
อนาคตของ Bitcoin Cash จะไปในทิศทางไหน
จากที่กล่าวไปข้างต้นว่าการ Halving ใน Bitcoin Cash นั้น ผลลัพธ์ของมันผิดคาดไปพอสมควร ทำให้หลายโหนดล้มเลิกและหนีไปขุดเหรียญอื่นซึ่งอาจจะคุ้มค่ากับการลงทุนมากกว่า แต่โชคดีที่สินทรัพย์ดิจิทัลนั้นมีการปรับตัวของราคาขึ้นมาอย่างต่อเนื่องรวมถึง BCH ด้วย ทำให้นักพัฒนาและนักขุดทั้งหลายเลือกที่จะสู้ต่อไปกับความเชื่อมั่นว่าวันหนึ่ง BCH จะกลับมายิ่งใหญ่ตามที่เคยวาดฝันเอาไว้ และกำลังจะพัฒนาระบบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ อีกด้วย เช่นการ Double-Spend เป็นต้น การมุ่งมั่นพัฒนาระบบอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอแบบนี้ เหมือนกับว่าเครือข่ายทั้งหมดกำลังซุ่มเตรียมพร้อมและอยากกลับมาเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้งทั้งในมุมของปัจจัยพื้นฐานรวมถึงการเป็นขาขึ้นครั้งใหญ่ของราคา Bitcoin Cash ก็ได้ เราจึงอยากให้นักลงทุนทุกท่านจับตามองเอาไว้ให้ดีครับ เมื่อโอกาสมาถึง คุณจะได้ไม่พลาดขาขึ้นรอบใหญ่ของมันอีกครั้งหนึ่งครับ
Zipmex