Trump Put คือ

Trump 2.0 กลับมาพร้อมนโยบายที่จริงจังและเข้มข้นกว่าเดิม โดยหนึ่งในจุดสนใจที่ทำให้ทั่วโลกจับตาคือการกลับมาของนโยบายที่มุ่งมั่นพยุงตลาดการเงินให้มั่นคง ท่ามกลางความผันผวนที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน 

คำว่า “Trump Put” จึงถูกพูดถึงอีกครั้งในฐานะสัญญาณแห่งความหวัง ว่าการแทรกแซงจากรัฐบาลจะช่วยหนุนให้ตลาดไม่ตกต่ำเกินไป 

แต่ครั้งนี้ “Trump Put” จะยังคงมีพลังเหมือนเดิมหรือไม่? หรือจะเป็นแค่ภาพลวงตา? มาทำความเข้าใจกันเลย

Trump Put คืออะไร?

“Trump Put” เป็นศัพท์แสลงในวงการการเงินที่หมายถึงความเชื่อของนักลงทุนว่ารัฐบาลของ Donald Trump จะออกนโยบายเพื่อพยุงตลาดหุ้นหรือเศรษฐกิจในยามวิกฤต 

คำนี้มาจาก “Put Option” ซึ่งเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงในตลาดการเงิน โดยให้สิทธิ์ในการขายสินทรัพย์ในราคาที่กำหนดล่วงหน้า แม้ว่าราคาตลาดจะลดลง ผสมกับชื่อของ Trump ซึ่งสื่อถึงการแทรกแซงของรัฐบาลเพื่อป้องกันความเสี่ยงเมื่อเศรษฐกิจหรือตลาดหุ้นเริ่มสั่นคลอน

ก่อนหน้านี้เคยเกิดคำว่า “Fed Put” ซึ่งหมายถึงธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed ใช้เครื่องมือทางการเงินต่าง ๆ เพื่อพยุงตลาดการเงินเมื่อเกิดวิกฤต ซึ่งเป็นการแทรกแซงเพื่อให้ความมั่นคงกลับคืนสู่ตลาด คล้ายกับ “Trump Put” ที่มุ่งหวังให้การแทรกแซงจากรัฐบาลช่วยลดความเสี่ยงในภาวะที่ตลาดกำลังตกต่ำ

รวมนโยบาย “Trump Put”

ตั้งแต่ทรัมป์กลับมารับตำแหน่งสมัยที่ 2 เขาได้ออกนโยบายมากมายที่ส่งผลต่อตลาดการเงินและถูกมองว่าเป็น “Trump Put” เพราะช่วยหนุนความเชื่อมั่น ป้องกันความเสียหายรุนแรง และกระตุ้นเศรษฐกิจท่ามกลางความผันผวน โดยต่อไปนี้คือนโยบายที่ถูกมองว่าเป็น “Trump Put”

  1. การลดระเบียบข้อบังคับในภาคพลังงาน
    วันที่ 20 มกราคม 2025 ทรัมป์ถอนสหรัฐฯ ออกจากข้อตกลงปารีสที่มีเป้าหมายหลักคือลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเร่งเพิ่มการผลิตน้ำมัน พร้อมทั้งผ่อนปรนกฎมลพิษ ตามคำขอของบริษัทพลังงาน การดำเนินการนี้ช่วยเสริมความมั่นคงให้กับหุ้นพลังงาน ท่ามกลางความผันผวนของราคาน้ำมัน
  2. การผลักดัน Crypto Strategic Reserve
    วันที่ 28 มกราคม 2025 ทรัมป์สั่งการสำรวจสะสม Bitcoin เพื่อสร้าง “Crypto Strategic Reserve” แม้ว่าจะชะลอในบางส่วน เนื่องจากกังวลเรื่องค่าเงินดอลลาร์ โดยในช่วงแรกที่ประกาศนโยบายนี้ Bitcoin พุ่งขึ้นอย่างรุนแรงไปแตะ 107,000 ดอลลาร์ 
  3. การต่ออายุ Trump Tax Cuts และลดภาษีเพิ่มเติม
    วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2025 ทรัมป์ประกาศไม่เก็บภาษีทิปพนักงานและเงินได้ผู้สูงอายุจากประกันสังคม พร้อมทั้งต่ออายุ “Trump Tax Cuts” ซึ่งเป็นนโยบายลดภาษีสำหรับทั้งบริษัทและบุคคล ที่ใกล้หมดอายุในสิ้นปี 2025 การกระทำนี้ช่วยเพิ่มกำลังซื้อ ลดภาระธุรกิจ และป้องกันไม่ให้ตลาดหุ้นร่วงจาก Recession
  4. การเจรจาคลายภาษีศุลกากรหลังขู่ขึ้นสูง
    วันที่ 10 มีนาคม 2025 ทรัมป์ขู่ขึ้นภาษีเหล็กแคนาดา 50% แต่ในที่สุดระงับแผนหลังแคนาดายกเลิกค่าธรรมเนียมไฟฟ้าส่งออก การตัดสินใจนี้ช่วยป้องกัน S&P 500 ไม่ให้ร่วงแรงเกินไป และแสดงถึงความยืดหยุ่นในการปกป้องตลาด
  5. การกลับมาของนโยบายเก็บภาษีนำเข้า (Trade War)
    ทรัมป์เคยเรียกเก็บภาษีสินค้าจากจีนและเม็กซิโกเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ แต่เมื่อเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว เขาปรับลดภาษีบางส่วนเพื่อรักษาความมั่นใจในตลาดและป้องกันผลกระทบจากสงครามการค้า 
  6. แพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจ
    ทรัมป์อนุมัติแพ็คเกจกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่เพื่อฟื้นฟูธุรกิจในช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มถดถอย ด้วยการลดภาษีและสนับสนุนการลงทุน ซึ่งช่วยให้ตลาดหุ้นฟื้นตัวและสร้างความมั่นคงให้กับเศรษฐกิจ
  7. การลดภาษีเพื่อกระตุ้นการลงทุน
    การลดภาษีทั้งในระดับบริษัทและบุคคล เพื่อกระตุ้นการลงทุนและการใช้จ่าย นอกจากนี้ ยังเพิ่มกำลังซื้อและสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงที่จำเป็นต้องกระตุ้นการลงทุนจากภาครัฐ
  8. การปรับลดการควบคุมการเงิน (Deregulation)
    ทรัมป์ลดข้อบังคับในภาคการเงินเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและส่งเสริมการเติบโต แม้จะมีความเสี่ยงระยะยาว แต่ก็ช่วยให้ตลาดการเงินปรับตัวได้รวดเร็วและคล่องตัว

นโยบายเหล่านี้สะท้อนถึงแนวคิด “Trump Put” ที่มุ่งมั่นในการกระตุ้นเศรษฐกิจและป้องกันวิกฤต เมื่อเกิดความไม่แน่นอนในตลาด การปรับท่าทีให้เหมาะสมในช่วงเวลาที่ตลาดสั่นคลอน แม้บางครั้งอาจทำให้เกิดความสับสน แต่ผลลัพธ์ที่ได้รับคือการรักษาความมั่นคงในระบบเศรษฐกิจ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและตลาดโดยรวม


อ้างอิง: Purpose Investments

Wealth Health Check