เมื่อเรามั่นใจแล้วว่า เรามีความสามารถซื้อรถได้ในเบื้องต้น จากบทความนี้ เราก็ต้องรู้วิธีการชำระเงิน อย่างที่บอกว่าเราสามารถเลือกว่าจะ ‘ซื้อสด’ หรือ ‘ซื้อผ่อน’ ซึ่งโดยปกติแล้ว มนุษย์เงินเดือนคงใช้วิธีกู้และเลือกผ่อนเป็นงวดๆ ไปสำหรับการซื้อรถยนต์ เราจึงอยากแนะนำวิธีการคำนวณดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อรถ เพื่อสำหรับการวางแผนการเงินขั้นต้น
ศึกษาวิธีการผ่อนรถ
ข้อควรรู้เบื้องต้นคือ เราควรมีเงินดาวน์รถยนต์ประมาณ 25% ของราคารถที่จะซื้อ ไม่เช่นนั้น ทางบริษัทไฟแนนซ์หรือสถาบันการเงินจะไม่อนุมัติการผ่อนชำระ และอีกกรณีหนึ่งคือ ถ้าผู้ที่มีรายได้ต่อเดือนน้อยหรือมีเงินเดือนไม่ถึงหลักหมื่นบาท ก็อาจจะถูกปฏิเสธการผ่อนชำระได้เช่นกัน สาเหตุคือ ค่าผ่อนอาจจะสูงเกินไปเมื่อเทียบกับรายได้ต่อเดือน
ซึ่งวิธีการคำนวณดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับรถยนต์นั้น จะเป็นวิธีการคิดแบบ “Flat Rate” หรือ ดอกเบี้ยคงที่ คือการรวมเงินต้นและดอกเบี้ยเข้าด้วยกัน และแบ่งเป็นงวดๆ ให้เราจ่ายจำนวนนี้ไปแต่ละงวด
ตัวอย่าง ถ้าเราจะซื้อรถราคา 500,000 บาท เราวางดาวน์ไว้ 150,000 บาท จะต้องกู้เพิ่ม 350,000 บาท ดอกเบี้ย 5% ต่อปี ระยะเวลา 4 ปี (หรือ 4 งวด)
แสดงว่าเราต้องเสียดอกเบี้ยเป็นจำนวน 350,000*5% = 17,500 บาทต่อปี
ระยะ 4 ปี เราต้องจ่ายดอกเบี้ยทั้งหมด 17,500*4 = 70,000 บาท
ทำให้เราเป็นหนี้ธนาคารทั้งหมด 350,000+70,000 = 420,000 บาท
ซึ่งเราต้องจ่ายปีละ 105,000 บาทต่อปี หรือ 8,750 บาทต่อเดือน
ข้อควรรู้อีกข้อ คือ การผ่อนรถไม่เหมือนกับการผ่อนบ้าน เพราะการผ่อนรถเป็นการชำระตายตัว มีการคิดดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายล่วงหน้าไว้แล้ว นั่นก็คือ เรายังต้องจ่ายทั้งหมด 420,000 บาทอยู่ดี ถึงแม้ว่าเราจะมีเงินมาโปะยอดค้างทั้งหมด และหวังว่าจะไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยในงวดต่อไปเพราะเราชำระหนี้ค้างไว้หมดแล้ว ซึ่งกรณีนี้จะเหมือนการผ่อนบ้านที่คิดแบบดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก หรือ Effective Rate ซึ่งถ้าเราสามารถจ่ายยอดค้างได้ทั้งหมดก่อนการชำระงวดต่อไป เราก็ไม่มีความจำเป็นต้องจ่ายดอกเบี้ยในอนาคตแล้ว หมายความว่า ถ้าเป็นการผ่อนบ้าน ยิ่งเราสามารถผ่อนได้เร็วขึ้น เรายิ่งลดค่าใช้จ่ายเรื่องดอกเบี้ยได้มากยิ่งขึ้น
และที่สำคัญคือ ในกรณีที่เราค้างค่างวดเป็นเวลา 3 เดือนติดต่อกัน เพราะเรามีปัญหาหมุนเงินไม่ทัน ผ่อนรถต่อไม่ไหวแล้ว ทางฝ่ายไฟแนนซ์จะเข้ามาติดต่อเพื่อหาทางออกเรื่องการค้างชำระ แต่ถ้าภายใน 30 วันยังไม่สามารถตกลงได้ ผลลัพธ์คือ เราจะต้องโดนยึดรถนั่นเอง แต่เรื่องไม่จบเพียงแค่นี้เท่านั้น เพราะหลังจากการยึดรถ ไฟแนนซ์จะนำรถนั้นไปขายทอดตลาด และหากราคารถที่ถูกขายได้น้อยกว่าจำนวนเงินที่เราค้างชำระ ทางไฟแนนซ์ก็จะตามค่าส่วนต่างกับเรากับอยู่ดี ทางที่ดี เราควรจ่ายค่างวดให้ครบและตรงเวลาในทุกๆ เดือนเพื่อลดปัญหาที่จะตามมาภายหลัง และต้องคิดดีๆ ว่าที่เรากู้เงินไปซื้อรถ ‘เราสามารถผ่อนไหวไหม?’
ดังนั้น เราสามารถสรุปได้ว่า ยิ่งเราวางเงินดาวน์น้อย และระยะผ่อนนาน ดอกเบี้ยที่เราจะต้องจ่ายก็ยิ่งสูง ฉะนั้น ถ้าเรายิ่งสามารถวางเงินดาวน์ไว้สูงเท่าไหร่ และระยะผ่อนสั้น เราก็จะจ่ายดอกเบี้ยน้อยลง และสามารถปลดหนี้ได้เร็วมากยิ่งขึ้น หรือถ้าเรามีเงินสดเพียงพอ ก็ควรซื้อไปเลย เพื่อจะได้ไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยเลย และสามารถลดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ได้อีกด้วย
การวางแผนการเงินเพื่อซื้อรถ
หลังจากที่เราศึกษาข้อควรรู้ก่อนซื้อรถยนต์และวิธีการผ่อนรถไปแล้ว เมื่อลองประเมินแบบเร็วๆ เราต้องมีเงินก้อนประมาณ 200,000 บาทเพื่อดาวน์รถ และเงินที่ต้องจ่ายรายเดือนก็อยู่ที่ประมาณ 10,000 กว่าบาท ซึ่งค่าใช้จ่ายนี้ก็แปรผันตามยี่ห้อและรุ่นของรถ ยิ่งรถแพง ค่าใช้จ่ายก็แพงขึ้นตาม
ดังนั้นเพื่อให้เราถึงฝันรถคันแรกนี้ เราก็ควรวางแผนการเงิน แต่ว่าจำนวนเงินมันดูเยอะนะสำหรับมนุษย์เงินเดือนธรรมดาๆ อย่างเรา คำถามในหัวของทุกคนคงจะเป็น ‘เป้าหมายไกลจัง… จะทำได้หรือเปล่านะ?’
เพื่อให้ถึงเป้าหมายของเรา เราก็มีวิธีที่สามารถทำให้เราครอบครองรถคันแรกของเราได้เร็วขึ้น วิธีนั้นก็คือ ‘การลงทุน’ ซึ่งเรามั่นใจว่าวิธีเบื้องต้นสำหรับคนที่อยากมีรถก็คือ การออมเงิน แต่อย่าลืมว่า การออมอย่างเดียว อาจจะทำให้เราสามารถซื้อรถได้ตามต้องการแต่ก็นาน เพราะเงินไม่มีการเติบโตด้วยการเก็บอย่างเดียวหรือโตช้าด้วยดอกเบี้ยธนาคาร แต่ถ้าเราเอาเงินเก็บของเราไปลงทุนด้วย เงินของเราก็จะโตเร็วขึ้นกว่าเดิม เราก็จะถึงเป้าหมายเร็วขึ้นกว่าเดิมด้วย
ถึงแม้ภาพในหัวของใครหลายๆ คนคงคิดว่า ‘การลงทุนเหรอ… ฟังแล้วลำบากเนอะ’ แต่จริงๆ แล้วการลงทุนไม่ใช่สิ่งที่ยากและลำบากเลย สมัยนี้ตัวช่วยเรามีเยอะแยะ
ขอยกตัวอย่าง แผน GOAL ของ FINNOMENA ที่ถูกสร้างมาสำหรับผู้ที่มีเป้าหมายการลงทุนเพื่อการเก็บเงินก้อน และจะจัดพอร์ตตามวัตุประสงค์ ตามระยะเวลาในการลงทุน และเป้าหมายการลงทุนที่แตกต่างกันไป อย่างเช่น การซื้อรถยนต์ ซื้อบ้าน แต่งงาน มีเงินเกษียณ เป็นต้น โดยเน้นการลงทุนแบบ Dollar Cost Average (DCA) เป็นการทยอยลงทุนสะสมในทุกๆ เดือน ซึ่งความพิเศษของแผน GOAL นี้ ก็คือ Wealth Path ที่ช่วยคำนวณความเป็นไปได้ในการลงทุนผ่านโมเดลทางการเงินที่สามารถพยากรณ์โอกาสทั้งหมดที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตว่า ‘ถ้าเรามีเงินลงทุนตั้งต้นอยู่ที่ 50,000 บาท โดยมีเงินลงทุนสะสมทุกเดือนที่ 10,000 บาท ด้วยความเสี่ยงระดับที่เราเลือกต่ำสุด ภายในระยะเวลา 5 ปีที่เรากำหนด เราจะสามารถมีเงินถึงเป้าหมายเราได้หรือไม่ผ่านการลงทุน’
และหากใครกังวลว่า เราต้องนั่งเฝ้าพอร์ตของเราตลอดเวลารึเปล่า? จริงๆ แล้วพอร์ตของเราจะได้รับคำแนะนำและดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญตลอดเวลา ดังนั้น ไม่ต้องเป็นห่วง!
หากใครสนใจรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการลงทุนตามเป้าหมายด้วยแผน GOAL สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ https://www.finnomena.com/goal/ หรือคลิกที่แบนเนอร์ข้างล่างได้เลย
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน