ล่าสุด Elon Musk เพิ่งปล่อยจรวด Falcon Heavy ไปสู่อวกาศ เราเลยถือโอกาสนี้มาทบทวนชีวิตสุดแหวกแนวของเขาเสียหน่อย แม้แต่ละเป้าหมายจะดูบ้าๆ ในมุมมองของคนทั่วไป แต่มันก็ช่วยให้เขาประสบความสำเร็จไม่ใช่น้อย
1. เป้าหมายของมัสก์คือการช่วยเหลือมนุษยชาติ ด้วยการอพยพมนุษย์ไปอยู่บนดาวอังคาร
- เพราะเขาเห็นว่าโลกเรานี้มีความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นการถูกชนจากอุกกาบาต หรือการที่ทรัพยากรร่อยหรอลงเรื่อยๆ
- ความทะเยอทะยานที่ชัดเจนนี้ส่งผลให้มัสก์ตั้งเป้าหมายอันยิ่งใหญ่…ที่ดูเหมือนว่าจะยิ่งใหญ่เกินไปจนไม่น่าเป็นจริงได้
- เขาเคยถึงขั้นด่าพนักงานที่เลือกจะไปดูหน้าลูกเป็นครั้งแรกแทนที่จะเข้าร่วมงานอีเว้นท์ของบริษัท เพราะเขามองว่าคนผู้นั้นไม่ให้ความสำคัญกับเป้าหมายของบริษัทมากพอ
- ถึงอย่างนั้น พนักงานก็ยังให้ความเคารพมัสก์เพราะเขามีเป้าหมายที่ชัดเจนซึ่งจะนำมาสู่ความสำเร็จ
- คงเพราะมัสก์เชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองทำมากๆ เขาจึงสามารถอัดตารางงานชนิดแน่นเอี๊ยด วันจันทร์ถึงคืนวันอังคารเขาอยู่ที่ SpaceX ใน LA จากนั้นนั่งเครื่องบินไปซิลิคอน วัลเลย์เพื่อทำงานที่ Tesla ในวันพุธและพฤหัสฯ จากนั้นก็บินกลับ LA
2. เพื่อนวัยเด็กของมัสก์คือสารานุกรม
- สมัยที่ยังใช้ชีวิตอยู่ในแอฟริกาใต้ในช่วงวัยเด็ก มัสก์กับพ่อของเขามีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยราบรื่นนัก ถึงอย่างนั้นเมื่อพ่อแม่เขาเลิกกันเขาก็ยังตามไปอยู่กับพ่อเพียงเพราะต้องการเพื่อน
- ชีวิตที่โรงเรียนของมัสก์ก็ไม่ค่อยสนุกสักเท่าไรเพราะเขามักจะโดนเพื่อนแกล้งอย่างหนัก เคยถึงขั้นโดนซ้อมจนไปโรงเรียนไม่ได้เป็นสัปดาห์
- เพราะเหตุนี้มัสก์เลยหลบหนีจากความวุ่นวายด้วยการอ่านหนังสือและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เขาสามารถอ่านสารานุกรม 2 เล่มจนจบแถมยังจำได้ทุกรายละเอียด
- The Hitchhiker’s Guide to the Galaxy คือหนังสือที่เป็นแรงบันดาลใจให้มัสก์ จุดประกายให้เขารู้ว่าการตอบคำถามน่ะง่าย แต่การถามคำถามที่ถูกต้องน่ะยาก
- มัสก์เริ่มตั้งคำถามถึงการพัฒนามนุษยชาติตั้งแต่วัยเด็กแล้ว พอขึ้นมัธยมฯ เขาเริ่มมีมุมมองชัดเจนเกี่ยวกับแนวคิดล้ำๆ ไม่ว่าจะเป็นพลังงานแสงอาทิตย์ การยึดครองดาวอื่นๆ ระบบธนาคารออนไลน์ หรือจรวดอวกาศ
- ตอนอายุ 12 เขาสามารถขายวิดีโอเกม Blastar ซึ่งสร้างขึ้นเองในราคา $500
3. มัสก์จีบภรรยาคนแรกด้วยการซื้อไอศกรีมให้
- ในปี 1988 มัสก์เดินทางไปแคนาดาเพราะไม่อยากถูกเกณฑ์ทหารในแอฟริกาใต้ เขาได้เข้าเรียนที่ Queen’s University…ที่ที่หล่อหลอมบุคลิกตัวตนของมัสก์ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
- ความทะเยอทะยานของมัสก์ช่วงนี้ยิ่งใหญ่กว่าตอนอยู่มัธยมฯ อีก เขาเข้าร่วมการแข่งขันพูดหน้าสาธารณะชน เรียนวิชาบริหารธุรกิจ แถมยังชนะใจ Justine Wilson ภรรยาคนแรกที่ให้กำเนิดลูกของเขาถึง 6 คน
- ตอนแรกๆ Wilson ก็ไม่ได้สนใจมัสก์เท่าไร แต่มัสก์ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ อยู่แล้ว เขาลอบถามเพื่อนของเธอว่าเธอชอบไอศกรีมรสอะไร แล้วซื้อไอศกรีมไปฝากเธอ
- หลังเรียนที่ Queen’s ได้ 2 ปี มัสก์ได้ย้ายไปเรียนที่ University of Pennsylvania ซึ่งเป็นที่ที่เขาเริ่มเจอเพื่อนคอเดียวกัน ไม่ใช่แค่เรื่องความชอบส่วนตัว แต่เป็นนิสัยรักการหาเงินด้วย
4. มัสก์ทำธุรกิจอินเตอร์เน็ต ในช่วงเวลาที่อินเตอร์เน็ตถูกมองว่าเป็นเรื่องโง่เง่า
- หลังจบการศึกษาใหม่ๆ มัสก์กับน้องชายร่วมกันก่อตั้ง Global Link Information Network (ซึ่งภายหลังถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Zip2) ในปี 1995 ใช้ประโยชน์จากปรากฎการณ์ Dotcom เป้าหมายของบริษัทนี้คือช่วยเหลือธุรกิจที่อยากลงสมรภูมิออนไลน์แต่ยังงงๆ กับอินเตอร์เน็ต
- ช่วงแรกๆ การดำเนินงานของบริษัทก็ไม่ค่อยราบรื่นเท่าไร เพราะบริษัทอื่นๆ ยังไม่ค่อยมีความรู้ว่าอินเตอร์เน็ตสามารถสร้างประโยชน์อะไรได้บ้าง พวกเขาเคยถึงขั้นได้คำด่ากลับมาว่า “อินเตอร์เน็ตเป็นเรื่องที่โง่ที่สุดที่เคยได้ยินมา”
- สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไปเมื่อบริษัท Venture Capitalist อย่าง Mohr Davidow Ventures เข้ามาร่วมลงทุนในบริษัทเพราะประทับใจในวิสัยทัศน์ของมัสก์ แต่ตำแหน่ง CEO ของมัสก์ก็ถูกแทนที่ด้วยคนใหม่อย่าง Rich Sorkin แทนเสียอย่างนั้น
- ยิ่งเงินหลั่งไหลเข้ามามากเท่าไร บริษัทก็ยิ่งจ้างวิศวกรใหม่ๆ เข้ามา พวกเขาจัดการเปลี่ยนแปลงระบบ Coding ให้ง่ายขึ้นหมด ซึ่งนั่นทำให้มัสก์ไม่พอใจ เพราะเขาอุตส่าห์เรียนรู้การ Coding ด้วยตัวเองมาตั้งนาน ถึงอย่างนั้นการเข้ามาของ Mohr Davidow ก็ทำให้โครงสร้างบริษัทดีขึ้น
- ในที่สุด ปี 1999 บริษัท Zip2 นี้ก็ได้รับข้อเสนอขอซื้อจากบริษัทคอมพิวเตอร์อย่าง Compaq Computer ในจำนวน $307 ล้าน แต่มัสก์ไม่เคยคิดจะข้องเกี่ยวกับ Compaq มาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว เขามีไอเดียอยากทำโปรเจ็กต์ใหม่และอยากจะเป็น CEO เลยขาย Zip2 ไป
5. มัสก์อยู่เบื้องหลังเทคโนโลยีของ PayPal
- มัสก์นำเงินส่วนหนึ่งที่ได้มาจากการขาย Zip2 ให้ Compaq มาสร้างบริษัทใหม่ นั่นก็คือ X.com ซึ่งเป็นบริษัทธนาคารออนไลน์แห่งแรกของโลก เพิ่มความน่าเชื่อถือด้วยการมีคู่ค้าเป็น Barclays
- แต่แล้วคู่แข่งก็ถือกำเนิดขึ้น เมื่อ Max Levchin และ Peter Thiel ก็กำลังพัฒนาระบบการจ่ายเงินที่ Confinity ก่อนที่จะสร้างเวอร์ชั่นแรกของ PayPal ขึ้นมา
- แข่งกันไปได้สักพัก ทั้ง 2 บริษัทก็ตัดสินใจควบรวมกันในปี 2000 เพราะต่างฝ่ายต่างก็มีดีในแบบของตัวเอง ถ้าเอามารวมกันมันก็จะดียิ่งขึ้น
- แต่ต่อมามัสก์ก็ประสบปัญหาเมื่อ Thiel กับ Levchin สละเรือ แม้เพื่อนร่วมงานของมัสก์จะชอบ PayPal แต่มัสก์อยากไปโฟกัสที่ X.com มากกว่า ระหว่างนั้นระบบเว็บไซต์ก็ล่มอยู่บ่อยครั้ง
- ยังไม่จบแค่นั้น เพราะระหว่างที่มัสก์กับภรรยากำลังจะไปฮันนีมูนกัน กลุ่มผู้บริหารระดับสูงก็ได้ขอให้ Thiel กลับมาเป็น CEO แล้วลดตำแหน่งของมัสก์ให้เหลือแค่ที่ปรึกษาแทน
- บริษัทเปลี่ยนชื่อจาก X.com เป็น PayPal ซึ่งภายหลังถูกขายให้ eBay ในปี 2002 ด้วยมูลค่า $1.5 พันล้าน ส่วนมัสก์ได้เงินมา $250 ล้าน
6. มัสก์อยากสร้างจรวดที่ไม่แพง
- ในปี 2001 มัสก์ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ LA ใกล้ๆ ศูนย์กลางของอุตสาหกรรมอวกาศ
- มัสก์ตัดสินใจเริ่มแผนบุกอวกาศด้วยการวางแผนสร้างจรวดที่ใช้ต้นทุนต่ำกว่า ในปี 2002 บริษัท SpaceX หรือ Space Exploration Technologies จึงได้ถือกำเนิด
- ตอนแรกแผนของมัสก์คือการยิงจรวดภายใน 15 เดือนหลังบริษัทก่อตั้ง แต่เอาเข้าจริงก็ต้องใช้เวลาเตรียมตัวพัฒนาจรวดถึง 4 ปี แม้จะรู้ว่าโอกาสล้มเหลวมีมาก แต่มัสก์ก็ไม่ยอมแพ้
- ความพยายามของมัสก์ไม่สูญเปล่าเมื่อ SpaceX กลายเป็นบริษัทแรกที่ยิงจรวด Dragon ขึ้นไปบนอวกาศและสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย
7. มัสก์ไม่ได้ก่อตั้ง Tesla Motors แต่กลายเป็นผู้ถือหุ้นเพียงหนึ่งเดียวและประธานบริษัท
- เมื่อก่อนรถยนต์ไฟฟ้าก็ไม่ได้ดูเท่เท่าไรนัก แต่เพราะมัสก์นี่ละที่ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าดูดีขึ้นมา
- เรื่องมันเริ่มขึ้นเมื่อ J.B. Straubel, Martin Eberhard และ Marc Tarpenning ร่วมมือกันพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า ในปี 2003 Eberhard และ Tarpenning ได้ก่อตั้ง Tesla Motors ที่ซึ่ง Straubel มาร่วมวงด้วยทีหลัง
- Tesla หมายมั่นปั้นมือว่าจะสร้างเทคโนโลยีที่ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าวิ่งไปเร็วยิ่งกว่าเฟอร์รารี่ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้นักลงทุนคล้อยตามสักเท่าไรนัก
- ในทางตรงกันข้าม มัสก์ได้ลงทุนในบริษัทไป $6.5 ล้าน เลยกลายเป็นผู้ถือหุ้นเพียงหนึ่งเดียว พ่วงด้วยตำแหน่งประธานบริษัท มุมมองของมัสก์ที่มีต่อโปรเจ็กต์นี้คือการปฏิวัติรถยนต์ไฟฟ้าให้เป็นที่นิยมและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยลดปัญหามลภาวะบนโลก
- แม้จะใช้เวลาตั้งตัวอยู่นาน แต่ Tesla ก็ประสบความสำเร็จ ในปี 2012 รถ Model S sedan ได้รับการสรรเสริญว่าเป็น “คอมพิวเตอร์ที่มีล้อ” “รถยนต์แห่งปี” “รถยนต์ที่ดีที่สุดที่เคยมีมานับตั้งแต่ Chrysler” ต้องขอบคุณเทคโนโลยีสุดล้ำในตัวรถ ไม่ว่าจะเป็นอินเตอร์เน็ตแรงๆ หรือระบบเซนเซอร์ที่ผู้ขับไม่ต้องแตะอะไรเลยก็สามารถสตาร์ตรถได้
8. มัสก์สร้างอาณาจักรของตัวเองจากหลายๆ บริษัทที่เขาข้องเกี่ยว
- มัสก์อยากข้องเกี่ยวกับพลังงานแสงอาทิตย์มานานแล้ว ดังนั้นเมื่อญาติของเขา (พี่น้องตระกูล Rive) มาขอไอเดียธุรกิจใหม่ เขาเลยเสนอพลังงานแสงอาทิตย์ขึ้นมา
- อันที่จริงแล้วแผงพลังงานแสงอาทิตย์น่ะไม่แพงหรอก ที่แพงน่ะคือขั้นตอนการติดตั้งต่างหาก ทำเอาลูกค้าหลายๆ คนแหยง พี่น้องตระกูล Rive เลยแก้ปัญหานี้ด้วยการเสนอบริการติดตั้งตั้งแต่ต้นจนจบ
- มัสก์เข้ามาช่วยบริษัทในเรื่องของการวางโครงสร้างธุรกิจ จนในที่สุดก็กลายเป็นประธานบริษัทและผู้ถือหุ้นหลัก หกปีต่อมา SolarCity ก็ได้กลายเป็นผู้เล่นที่ใหญ่ที่สุดในธุรกิจรับติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์ ขยายฐานลูกค้าจากรายบุคคลไปสู่องค์กรอย่าง Walmart และ Intel โดยในปี 2014 มูลค่าของบริษัทอยู่ประมาณ $7 พันล้าน
- การผสานกันระหว่าง SpaceX, Tesla และ SolarCity ช่วยให้มัสก์มุ่งสู่เป้าหมายของตัวเอง นั่นก็คือการปกป้องมนุษยชาติ ฟังก์ชั่นของแต่ละบริษัทก็ทำงานร่วมกันได้ดี เช่น Tesla สร้างแบตเตอรี่ที่ SolarCity สามารถขายให้ลูกค้าได้ ในทางกลับกัน Tesla ก็ได้แผงพลังงานแสงอาทิตย์จาก SolarCity มาประกอบเป็นที่ชาร์จแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า
9. มัสก์จะย่นระยะเวลาการเดินทางจาก 2 ชั่วโมง ให้เหลือ 30 นาที
- เป็นที่รู้กันว่ามัสก์ชอบทำการใหญ่ ในปี 2013 เขาได้เปิดเผยว่าหนึ่งในโปรเจ็กต์ที่เขาอยากทำคือ Hyperloop
- Hyperloop คือการเดินทางแบบใหม่สำหรับระยะทางที่ไม่ไกลนัก ลักษณะเป็นท่อใหญ่ๆ ที่เปรียบเสมือนช่องทางให้ยานพาหนะเดินทางข้ามผ่านไปได้
- เทคโนโลยีของมัสก์สามารถทำให้ยานพาหนะเคลื่อนที่ได้ด้วยความเร็ว 800 ไมล์ต่อชั่วโมง ถ้าให้เทียบก็คือการเดินทางจาก LA ไป San Francisco ภายใน 30 นาที (ปกติถ้าขึ้นเครื่องบินจะใช้เวลา 1.30-2 ชั่วโมง)
- โปรเจ็กต์สำหรับ Tesla และ SpaceX ก็พรั่งพรูออกมาเรื่อยๆ เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการพาคนขึ้นอวกาศ หรือการสร้าง Gigafactory – ฐานการผลิตแบตเตอรี่ Lithium-Ion ที่ใหญ่ที่สุดในโลกแบตเตอรี่นี้ถือเป็นพระเอกที่ทำให้รถยนต์ Tesla สามารถขับเคลื่อนในระยะทางไกลๆ ได้
- มีคนบอกมาว่ามัสก์ใฝ่ฝันอยากจะเป็นมนุษย์คนแรกที่ได้เหยียบดาวอังคาร
10. มัสก์แต่งงานกับภรรยาคนเดิมถึง 2 ครั้ง
- มัสก์แต่งงาน 3 ครั้ง โดย 2 ครั้งนั้นแต่งกับภรรยาคนเดิม
- เขาไม่ใช่สามีที่อ่อนโยนสักเท่าไร มีครั้งหนึ่งเขาเคยบอก Justine ภรรยาคนแรกของเขาว่าถ้าหล่อนเป็นพนักงานในบริษัทเขา เขาคงไล่หล่อนออกไปแล้ว
- หลังจากที่มัสก์หย่ากับ Justine เขาก็ได้พบกับ Talulah Riley นักแสดงวัย 22 ปีที่กลายมาเป็นภรรยาคนที่สองของเขา
- มัสก์หย่ากับ Riley ครั้งแรกในปี 2012 แต่ก็กลับมาแต่งงานกันอีก ตอนนั้นเขาเริ่มกระจ่างแจ้งแล้วว่าคงไม่สามารถคงความสัมพันธ์ไปด้วยหากยังคงทำงานหนักแบบนี้ (มัสก์เคยคำนวณไว้ว่าผู้หญิงต้องการให้ผู้ชายอยู่กับหล่อนอย่างน้อย 10 ชั่วโมงต่อสัปดาห์) ในปี 2014 เขาเลยหย่ากับหล่อนอีกครั้ง
- บางเสียงได้เล่าขานถึงความไม่อ่อนโยนของมัสก์ที่มีต่อพนักงาน เช่น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ Mary Beth Brown ซึ่งเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของเขา หลังจากที่ Brown ขอขึ้นเงินเดือน มัสก์ก็บอกให้หล่อนไปพัก 2 สัปดาห์แล้วระหว่างนั้นเขาจะพิจารณาคำขอ ทว่าเมื่อครบกำหนดแล้วเขากลับบอกหล่อนว่าเขาไม่ต้องการหล่อนอีกแล้ว
- ถึงอย่างนั้น เสียงจากคนใกล้ตัวก็ออกมาบอกว่าจริงๆ แล้วมัสก์ก็เป็นคนจิตใจดีนะ อย่าง Riley ที่เป็นภรรยาคนที่สองก็ได้บอกว่าแม้มัสก์จะตารางยุ่งมากๆ แต่เขาก็พยายามกลับบ้านมาทานข้าวเย็นและเล่นเกมคอมพิวเตอร์กับลูกๆ
การได้ทำความรู้จักกับอีลอน มัสก์ สอนให้รู้ว่าหากมีไอเดียอะไรก็ตาม ไม่ว่ามันจะฟังดูบ้าบอแค่ไหน ก็อย่าไปกังวล ไม่มีอะไรที่เหลือเชื่อเกินไปหรอก ถ้าตั้งใจจริงๆ ก็จะสามารถบรรลุเป้าหมายนั้นได้
ข้อมูลอ้างอิงจาก: Blinkist สรุปหนังสือ Elon Musk: Tesla, SpaceX, and the Quest for a Fantastic Future เขียนโดย Ashlee Vance
แท็ก: