ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า “เงิน” นั้นเป็นส่วนสำคัญของชีวิตจริง ๆ เพราะไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายอะไรที่เราหมายมั่นปั้นมือจะพิชิต ส่วนใหญ่ก็ล้วนแล้วแต่ใช้เงินทั้งนั้น นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมหลาย ๆ คนถึงให้ความสนใจกับการวางแผนการเงินเพื่อความมั่นคงของชีวิต
หนึ่งในสิ่งสำคัญที่เปรียบเสมือนเข็มทิศนำทางเพื่อให้เราไปถึงฝั่งฝันได้นั้นก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่อง Mindset หรือ “ชุดความคิด” ที่จะมีหน้าที่คล้าย ๆ แว่นกรองมุมมองของเราอีกที สิ่งที่เราเลือกจะทำต่อจากนี้ จะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับ Mindset นี่ละ
ซึ่งวันนี้เราก็อยากนำทฤษฎี Fixed Mindset และ Growth Mindset มาเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังกัน โดยทฤษฎีนี้หลายคนอาจจะคุ้นหู จากหนังสือเลื่องชื่ออย่าง Mindset ของ Dr. Carol Dweck นั่นเอง ซึ่งพอเราได้รู้จัก Mindset เหล่านี้ ก็คิดว่ามันมีประโยชน์กับการบริหารเงินของพวกเราเหมือนกันนะ
ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกันว่า Fixed และ Growth Mindset คืออะไร ต่างกันอย่างไร
Fixed Mindset
ชื่อก็บอกอยู่ว่าเป็น Fixed ที่แปลว่า “คงที่” คนที่มี Fixed Mindset จะเชื่อว่าสิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นตามที่มันควรจะเป็น และไม่มีทางปรับเปลี่ยนไปจากนี้ได้
ถ้ายกตัวอย่างแบบง่าย ๆ คือ Mindset นี้จะมองว่าในโลกนี้มีแค่คน “เก่ง” กับคน “ไม่เก่ง” เท่านั้น ใครเก่งก็เก่งไปเลย ใครไม่เก่งก็คือไม่เก่ง คนเก่งไม่มีทางเก่งน้อยลง และคนไม่เก่งก็ไม่สามารถพัฒนาได้
ความน่ากลัวของ Fixed Mindset คือ มันไม่ส่งเสริมให้เราอยากพยายามเพิ่ม หรือเรียนรู้เพิ่ม เพราะเราคิดว่าเราไม่มีทางเปลี่ยนแปลงไปจากสถานะตอนนี้ได้เลย
ฟังแบบนี้ก็เริ่มเห็นภาพละว่า Fixed Mindset ไม่น่าใช่ตัวเลือกที่ดีในการพัฒนาตัวเองไม่ว่าด้านใดก็ตาม ฉะนั้นเราเลยขอแนะนำให้รู้จักกับ…
Growth Mindset
ตามชื่อเลย Growth ก็คือ “การเติบโต” คนที่มี Growth Mindset เชื่อว่าสิ่งต่าง ๆ สามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอ เชื่อในการพัฒนาตัวเอง การฝึกฝนเพื่อให้ไปสู่จุดที่มุ่งหวัง
ดังนั้นคนที่มี Growth Mindset จะไม่กล่าวโทษฟ้าดิน ไม่อิจฉาคนที่มี “พรสวรรค์” เพราะพวกเขามองว่า สิ่งเหล่านี้สามารถฝึกฝนกันได้ และคนที่ถูกมองว่ามีพรสวรรค์หลายคน ถ้าไม่ฝึกฝนวิชาเรื่อย ๆ สุดท้ายก็จะกลายเป็นกระต่ายที่ถูกเต่าแซงหน้าจนได้
Growth Mindset เป็นชุดแนวคิดที่เชื่อมั่นในศักยภาพการพัฒนาของคน เชื่อว่าคนไม่เก่งสามารถกลายเป็นคนเก่งได้ คนชั่วกลายเป็นคนดีได้ คนจนกลายเป็นคนรวยได้ ขอเพียงแค่มี Action Plan และความพยายามตั้งใจที่จะบรรลุจุดหมาย
และนี่ก็คือความแตกต่างของ 2 Mindset นี้ ซึ่งก็เรียบง่ายไม่มีอะไรซับซ้อน แต่การจะเปลี่ยนตัวเองจาก Fixed Mindset มาเป็น Growth Mindset นี่ อาจจะต้องใช้ความพยายามกันสักนิดหนึ่ง ยิ่งถ้าใครถูกปลูกฝัง Fixed Mindset มาตั้งแต่เด็ก ๆ ก็จะต้องใช้เวลากันหน่อย
ทีนี้เรามาเจาะกันดีกว่าว่า แล้วพฤติกรรมแบบ Growth Mindset มีอะไรบ้างที่จะช่วยให้เราวางแผนการเงินได้ดีขึ้น
พฤติกรรมแบบ Growth Mindset ที่เกี่ยวข้องกับการเงิน
ถ้าพูดแค่ Growth Mindset กว้าง ๆ อาจจะยังไม่เห็นภาพว่าต้องทำอะไรบ้าง งั้นเราจะขอยกตัวอย่างพฤติกรรมแบบ Growth Mindset มาให้ลองนำไปประยุกต์ใช้กัน ใครที่เคยทำหรือไม่เคยทำข้อไหน มาแชร์กันได้เลยนะ
1. เชื่อว่าจะสามารถเปลี่ยนสถานะการเงินได้
ถ้าเรามี Fixed Mindset เราจะคิดว่า เราคงมีรายได้อยู่ที่เท่านี้แหละ ไม่มากไปกว่านี้หรอก ก็ในเมื่อเราทำได้เท่านี้นี่ ฯลฯ การมีแนวคิดนี้ อาจส่งผลให้เราไม่ขวนขวายเพิ่มเติม ซึ่งก็จะส่งผลลัพธ์แบบที่เราคิดนั่นก็คือ…เราอยู่ที่เดิม ไม่ไปไหนแบบที่คิดเป๊ะ
แต่หากเรามี Growth Mindset เราจะเชื่อว่า เราสามารถก้าวกระโดดได้ เรามีโอกาสได้เงินเพิ่มขึ้นเพราะเราสามารถพัฒนาตัวเองต่อไปเรื่อย ๆ ได้ แนวคิดนี้แหละจะเป็นเสมือนเครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนให้เราพุ่งไปข้างหน้า เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อย่างไม่หยุดนิ่ง
2. เชื่อในการกระทำ ไม่ใช่ลักษณะนิสัย หรือคุณสมบัติส่วนตัว
“ก็เพราะเขาเก็บเงินเก่งน่ะสิ”
“ก็เขาเก่งเลขนี่ เรามันไม่เก่ง”
“ต้นทุนที่บ้านเขาดีไง”
เราอาจจะเคยเผลอตัดสินความสำเร็จของใครหลาย ๆ คนด้วยประโยคเหล่านี้ เพราะพวกเขามีสิ่งนู้นสิ่งนี้ ถึงได้ประสบความสำเร็จ ซึ่งมันก็อาจจะจริงส่วนหนึ่ง แต่แท้ที่จริงแล้วเราไม่มีทางรู้หรอกว่าเบื้องหลังความสำเร็จนั้น พวกเขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง
แน่นอนว่าคนที่มี “ต้นทุน” ดีอาจจะได้เปรียบ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่ไม่มีต้นทุนจะไม่มีวันสร้างเนื้อสร้างตัวได้ คนที่มี Growth Mindset มองว่า ถ้าเราละทิ้งกำแพงแห่งความเชื่อเหล่านี้ไปให้หมด ไม่จำกัดตัวเองเพียงเพราะ “ไม่เก่งเลข” “บ้านไม่รวย” ก็จะสามารถคว้าหาโอกาสรอบ ๆ ตัวมาผลักดันตัวเองได้
3. ตั้งเป้าหมายจำนวนรายได้ที่เราอยากมี
เมื่อเราเชื่อว่าเราสามารถประสบความสำเร็จด้านการเงินกว่าปัจจุบันได้ ทีนี้ก็มาลองตั้งเป้าหมายให้เป็นรูปธรรมกันว่าเราอยากมีรายได้เท่าไร แล้วก็คิดต่อว่าเราต้องทำอย่างไรล่ะถึงจะมีรายได้ตามเป้านั้น ต้องทำงานพิเศษหรือเปล่า หรือว่าต้องย้ายงาน ต้องเรียนรู้ทักษะอะไรมากขึ้นไหม ลองค่อย ๆ สร้าง Action Plan แล้วทำตาม และเมื่อเราถึงเป้าหมายแล้ว ก็สร้างเป้าใหม่ขึ้นมาเรื่อย ๆ เพื่อท้าทายตัวเองเสมอ
เมื่อเรามี Action Plan แล้วว่าจะทำอะไรบ้าง สิ่งเหล่านั้นก็เปรียบเสมือนเป้าหมายย่อย ๆ ไปในตัว เราควรตั้งเป้าหมายเหล่านี้ให้ยิ่งใหญ่เหมือนกัน เช่น อยากไปเรียนมหาวิทยาลัย หรือหลักสูตร XXX ที่เลื่องชื่อ อยากเข้าบริษัท Top 3 ของอุตสาหกรรม อยากขึ้นสู่ตำแหน่ง Senior ภายใน 2 ปี เป็นต้น ค่อย ๆ วางแผนว่าแต่ละเป้าหมายย่อยนั้นต้องทำอะไรบ้างเพื่อให้สำเร็จ
4. ตั้งเป้าตัวเลขสูง ๆ ไว้ก่อน
ไม่ว่าจะตั้งเป้าหมายทางการเงินอะไรก็ตาม จะเป็นเงินเกษียณ เงินสำรองฉุกเฉิน เงินเรียนต่อ ฯลฯ ให้ลองตั้งเป้าสูง ๆ ไว้ก่อน เผื่อ ๆ ไว้เลย เพราะยิ่งสูงเท่าไร ก็จะยิ่งเหลือพื้นที่ให้เราดึงศักยภาพตัวเองออกมาใช้มากขึ้นเท่านั้น เหมือนที่เขาว่ากันว่าถ้าไปไม่ถึงดวงจันทร์ ก็ยังอยู่ท่ามกลางดวงดาวนั่นละ
5. ศึกษาหาความรู้ และขอความช่วยเหลือจากผู้ที่เก่งกว่า
อย่ามองคนที่เก่งกว่าว่าเป็นศัตรู แต่ให้มองว่าเราจะสามารถเรียนรู้และขอความช่วยเหลืออะไรจากเขาได้บ้าง
Growth Mindset ทำให้เราเชื่อว่า เราสามารถเก่งขึ้นได้ ดังนั้นเราจะไม่มีอคติกับคนที่เก่งกว่าเรา เพราะเราเชื่อว่า ถ้าเราตั้งใจเราก็จะเก่งแบบเขาได้เหมือนกัน อีกทั้งคนที่มี Growth Mindset จะอยากทำความรู้จักคนเก่ง ๆ เผื่อจะได้ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน
ในทางตรงกันข้าม คนที่มี Fixed Mindset จะวางตัวเป็นปรปักษ์กับคนที่เก่งกว่า เพราะพวกเขาไม่คิดว่าตัวเองจะสู้อีกฝ่ายได้ การมีอยู่ของอีกฝ่ายคือการตอกย้ำว่าตนไม่เก่งนั่นเอง
6. เริ่มต้นลงทุนแม้เงินยังไม่เยอะ
หลายคนอาจจะมีความคิดที่ว่า ต้องมีเงินให้ได้ระดับหนึ่งก่อนถึงจะเริ่มเก็บออมลงทุน ทั้งที่ความจริงเราไม่ต้องรอก็ได้ แต่สามารถเริ่มจากเงินจำนวนน้อย ๆ ได้เลย โดยเราอาจจะเริ่มต้นลงทุนในกองทุนรวมที่มีขั้นต่ำการลงทุนไม่สูง เช่น 100, 500 หรือ 1,000 บาท เพื่อเสริมสร้างวินัยตัวเอง เชื่อไหมว่าการเริ่มก่อนด้วยเงินที่น้อยกว่านั้นได้เปรียบกว่าการเริ่มหลังแม้มีเงินเยอะกว่า
อย่างไรก็ดี การลงทุนมีความเสี่ยง และเงินที่ลงทุนนั้นเราควรมั่นใจว่าเป็นเงินเย็นที่หากสูญเสียไปจะไม่กระทบอะไรกับชีวิตประจำวันของเรา ที่สำคัญการเจียดเงินมาลงทุนก็ไม่ควรเบียดเบียนความเป็นอยู่ของตัวเองด้วยนะ
7. กล้าที่จะเสี่ยง
หลายคนไม่กล้าลงทุน ไม่กล้าทำอะไรใหม่ ๆ เพราะกลัวความเสี่ยง เคสที่เจอบ่อยสุดคือคนมักจะฝากเงินไว้ในธนาคารเพราะคิดว่าเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุด หารู้ไม่ว่าการฝากเงินไว้เฉย ๆ นั้นมีแต่จะทำให้มูลค่าเงินด้อยลงเพราะอัตราดอกเบี้ยที่เราได้รับนั้นสู้เงินเฟ้อไม่ไหว อย่างล่าสุดเงินเฟ้อเดือน ก.ค. 65 นั้นปาไป 7.61% แล้ว แต่ดอกเบี้ยเงินฝากอย่างมากที่สุดก็อยู่ที่ 1.5% เท่านั้นสำหรับฝากประจำ
หากอยากประสบความสำเร็จ ก็จะต้องก้าวออกมาจาก Comfort Zone เจอความเสี่ยง เจอความท้าทาย ตัวอย่างเช่น การลงทุนในหุ้น ซึ่งมีความเสี่ยงสูงขึ้น แต่ก็มีโอกาสรับผลตอบแทนสูงขึ้นเช่นกัน ซึ่งคนที่มี Growth Mindset จะมองว่ามันคือโอกาสได้เรียนรู้ แม้จะล้มก็ไม่เป็นไร ก็แค่ลุกขึ้นมาใหม่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้ดุ่ม ๆ เข้าไปเลยแบบไม่เตรียมตัวนะ ก็ต้องศึกษาหาความรู้เพื่อรับมือกับความเสี่ยงนั้นเหมือนกัน
8. หมั่นตรวจสอบสถานะการเงินอยู่เสมอ
ก่อนที่เราจะลงมือตัดสินใจทำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับเงิน เราก็ควรรู้ความจริงก่อนว่าสถานะการเงินตอนนี้เราเป็นอย่างไร ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นบันทึกรายรับรายจ่าย บันทึกงบดุลส่วนตัว บันทึกเงินลงทุน ที่เราควรอัปเดตอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้สะท้อนภาพความเป็นจริงที่สุด
ที่ต้องมีข้อนี้เพราะหลายคนมักจะมองว่าเงินเป็นเรื่องน่ากลัว ไม่ค่อยอยากเปิดดูเท่าไรว่าเดือนนี้ใช้จ่ายอะไรไปบ้าง หรือพอร์ตเดือนนี้ติดลบเท่าไร การพยายามหลีกหนีเรื่องไม่น่าอภิรมย์เหล่านี้แม้ว่าจะปลอดภัยในเชิงความรู้สึก แต่ถ้าเราอยากพัฒนาสถานะการเงินของเราให้ดีขึ้น เราก็ต้องกล้าที่จะเผชิญความจริง (แม้ว่าจะเจ็บปวด กระซิก)
9. ไม่จมปลักอยู่กับความผิดพลาด
ไม่ว่าจะเป็นการขาดทุน ติดดอย ใช้จ่ายเกินตัว เป็นหนี้ ลืมจดบันทึกรายรับรายจ่าย ฯลฯ เมื่อเจอเรื่องเหล่านี้ช่วงแรก ๆ อาจจะอนุโลมให้เศร้าเสียใจหรือท้อได้ แต่การมัวโทษตัวเอง จมปลักอยู่กับความผิดพลาด หรือยอมแพ้เพราะหมดกำลังใจนั้นไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น สิ่งที่ควรทำคือการลุกขึ้นมาอีกครั้ง มองว่าเรื่องราวเหล่านั้นคือบทเรียนที่เราได้เรียนรู้อะไรบางอย่างจากมัน ก็จะช่วยให้เราสามารถพัฒนาตัวเองขึ้นได้ ไม่ทำพลาดซ้ำสอง (หรือถ้าพลาดอีกก็จะไม่เจ็บปวดเท่าเดิม)
10. เรียนรู้อยู่เสมอ
แม้ว่าจะประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย ก็ยังหมั่นศึกษาหาความรู้ พัฒนาตัวเองเพื่อให้ทันโลกทันสถานการณ์ ไม่หยุดอยู่นิ่งกับที่ ไม่คิดว่าตัวเองเก่งที่สุด เพราะถ้าคิดแบบนั้นเมื่อไร เราจะหยุดอยู่กับที่ทันที เผลอ ๆ อาจจะถอยหลังด้วย ยุคนี้อะไร ๆ ก็เปลี่ยนไปไว สิ่งที่เคยเวิร์กในตอนนี้ ในอนาคตอาจจะไม่เวิร์กก็ได้
Growth Mindset มองว่า การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่ไม่มีวันสิ้นสุด เมื่อไรที่เราสนุกกับการพัฒนาตัวเองอยู่เรื่อย ๆ เมื่อนั้นแหละคือความสำเร็จที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง
สรุป
Mindset ถือเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะจะเป็นตัวกำหนดการกระทำของเราว่าจะไปในทิศทางไหน ทุกแง่มุมของชีวิตล้วนแล้วแต่มี Mindset มาเกี่ยวข้อง เรื่องเงินก็เช่นกัน
การใช้ Growth Mindset กับเรื่องเงิน จะช่วยให้เราวางแผนการเงินได้ดีขึ้น ทำให้เรามุ่งมั่นตั้งใจจะพัฒนาตัวเอง แก้ปัญหาได้ถูกจุด ไปถึงเป้าหมายที่ต้องการได้เร็วขึ้น
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ก็คือทริคที่เรานำมาฝากกัน สำหรับใครที่กำลังตั้งเป้าวางแผนเก็บเงิน บริหารจัดการเงิน หรือลงทุนละก็ ลองนำ Growth Mindset ไปประยุกต์ใช้กันได้นะ
References:
หนังสือ Mindset เขียนโดย Dr. Carol Dweck
https://moneytamer.com/fixed-mindset-vs-growth-mindset/
https://www.success.com/3-steps-to-move-from-a-fixed-to-a-growth-money-mindset/
https://www.northstarfinancial.com/news-events/how-to-have-a-growth-mindset/