“ความรวย” เป็นอะไรที่หลาย ๆ คนอยากได้กันทั้งนั้น แต่จะมีสักกี่คนที่ได้สัมผัส? นั่นเพราะพฤติกรรมที่จะนำพาเราไปสู่ความรวยนั้นพูดตรง ๆ ก็คือไม่ง่าย ต้องใช้ความพยายาม ความอดทน และความกล้าระดับหนึ่ง ถ้าความรวยเป็นสิ่งที่จะเปลี่ยนชีวิตเรา เราก็ต้องกล้าที่จะเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตของตัวเองก่อน
วันก่อนไปอ่านเจอบทความหนึ่งน่าสนใจของคุณ David Rae บน Forbes ซึ่งเขาสรุปมาให้ว่ามีพฤติกรรมไหนบ้างถ้าเรายังทำอยู่ รับรองว่าไม่มีทางรวยแน่ ! มา เดี๋ยวจะมาสรุปให้อ่านกัน ขอหยิบมา 4 ข้อก่อนละกันนะ
พฤติกรรมที่ 1: กลัวการลงทุน
เป็นเรื่องยากสำหรับคนทำงานทั่ว ๆ ไปที่จะร่ำรวยโดยไม่แบ่งเงินไปลงทุนในอะไรสักอย่างเลย คือเข้าใจแหละว่าหลายคนอาจจะรู้สึกว่าเก็บเงินไว้กับตัวอะปลอดภัยกว่า ไม่ขาดทุนแน่นอน แต่อย่าลืมว่าทุก ๆ ปีเราเจอเงินเฟ้อที่ทบขึ้นเรื่อย ๆ เงิน 40 บาทในวันนี้ อาจไม่เพียงพอที่จะซื้อข้าวแกงมื้อหนึ่งในอีก 10 ปีข้างหน้าแล้ว อำนาจการจับจ่ายใช้สอยของเราจะลดลง แต่เราจะโดนภาพลวงตาหลอกว่าเรายังมีเงินเท่าเดิมเพราะ “ตัวเลขในบัญชี” หรือ “ธนบัตรในมือ” ยังมีปริมาณเท่าเดิม
ถ้าอยากจะเอาชนะเงินเฟ้อ เราก็ต้องพึ่งพา “อัตราดอกเบี้ยทบต้น” จากการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนอะไรก็ตาม จะหุ้น ตราสารหนี้ กองทุนรวม อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ ซึ่งมีโอกาสให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากเงินในธนาคารอย่างเดียว ถึงตรงนี้ หลายคนเริ่มบ่นอุบแล้วว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง” ใช่ เรายอมรับว่ามีความเสี่ยง แต่เราว่าสิ่งที่เสี่ยงกว่าคือการไม่ลงทุนในอะไรเลย เพราะถ้าเงินไม่งอกเงยในอัตราที่เร็วกว่าเงินเฟ้อ หรืออัตราการจับจ่ายใช้สอยของเรา ลองคิดดูสิว่าจะเกิดอะไรขึ้น? เงินหมดไงล่ะเพื่อน
พฤติกรรมที่ 2: ใช้ชีวิตเกินตัว
ปัจจุบันมีสิ่งล่อตาล่อใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของคูล ๆ หรือไลฟ์สไตล์โก้ ๆ ของดารา เป็นเรื่องง่ายที่คนธรรมดาสามัญชนจะอยากครอบครองชีวิตดี ๆ แบบนั้นบ้าง หากเรามีเงินระดับหนึ่ง ถ้าอยากได้กระเป๋าแบรนด์เนมใบใหม่… อยากได้รถคันหรู… อยากได้บ้านสวยๆ ทำยังไงดี? ก็เป็นไปได้ที่คนบางคนจะกด “ซื้อโลด!” แต่เดี๋ยวก่อน จริง ๆ แล้วเรามีเงินมากพอที่จะซื้อชีวิตแบบนี้จริง ๆ เหรอ? บางคนอาจจะบอกว่า ก็ไม่เกินจำนวนเงินที่มี ใช้ไปสิ เรื่องนี้จะเป็นปัญหาเมื่อเงินก้อนนั้นเป็นเงินทั้งหมดที่เรามี และยังไม่ได้ถูกแบ่งไปเก็บออมหรือลงทุนใด ๆ ทั้งสิ้น หลาย ๆ คน “ตั้งงบตรงขอบเหว” คือถ้าใช้ถึงงบนี่แปลว่าเกลี้ยงจริงๆ บางคนใช้เงินแบบเดือนชนเดือน บางคนโชคร้ายเจอหนี้บัตรเครดิตอีก
อย่างดีสุดที่เราจะได้จากสถานการณ์นี้คือความมั่งคั่งของเราไม่เติบโตขึ้นเลย อย่างแย่สุดคือเงินหมด ติดหนี้ หรืออาจจะต้องทำงานตลอดไป พักไม่ได้ เป็นไงฟังแล้วเครียดชะมัด
ฉะนั้น เราควรหันหน้าเข้าหาความจริงว่าสถานะการเงินของเราตอนนี้ มันโอเคไหมกับการซื้อของแพง ๆ มันจะทำให้เราต้องกินแกลบรึเปล่า เราจะต้องติดหนี้แล้วจ่ายไม่ไหวไหม อะไรที่เกินตัวไปก็อย่าไปฝืน อย่าไปถือคติ “Fake It Till You Make It” กับเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ทางที่ดีคืออยู่อย่างพอเพียง ไม่อัตคัตขัดสนเกินไป แต่ก็พอใจกับสิ่งที่มีอยู่
พฤติกรรมที่ 3: สร้างหนี้ท่วมหัว
ต่อเนื่องจากข้อที่แล้ว การใช้เงินเกินตัวก็ทำให้เราเป็นหนี้ได้ และถ้าเป็นหนี้เยอะ ๆ ทีนี่ลำบากมากเพราะเงินที่ได้มาก็ต้องไปจ่ายหนี้ก่อน ก่อนจะสามารถนำไปลงทุนต่อยอดหรือเก็บออมเพื่อจุดประสงค์ต่าง ๆ ได้
ถึงอย่างนั้น ไม่ใช่ทุกหนี้ที่ส่งผลเสียเสมอไป เพราะหนี้ที่เกิดจากการกู้เงินไปซื้อบ้าน หรือเพื่อการศึกษานั้น เป็นหนี้ที่จะสร้างผลดีให้เราในอนาคตหากเรามีกำลังจ่าย หนี้ที่ควรระวังก็จะเป็นพกหนี้บัตรเครดิตที่เกิดจากการรูด ๆ แบบลืมคิดของเรานั่นแหละ เจอดอกเบี้ยเข้าไปทีก็ไม่มีเงินเก็บแล้ว ดังนั้น จัดการบัตรเครดิตให้ดี อย่าใช้เพลินจนเกินตัวนะฮะ
พฤติกรรมที่ 4: มองข้ามรายจ่ายเล็กๆ น้อยๆ
ไม่ว่าจะ 200 บาทหรือ 1,000 บาท หากมากขึ้นเรื่อย ๆ มันก็จะกลายเป็นเงินก้อนใหญ่ที่เราเผลอจ่ายออกไปโดยที่ไม่คิดว่ามันจะกระทบอะไรกับเรา เคยไหมที่ซื้อนิตยสารแบบเล่มต่อเล่ม ทั้งที่จริง ๆ ถ้าอ่านเป็นประจำก็น่าจะสมัครสมาชิกไปเลยเพื่อให้ได้ราคาที่ถูกกว่า แต่เราก็ลืมนึกไป หรือ เราอาจจะเคยจ่ายน้ำหนักกระเป๋าเพิ่มเวลาเดินทางด้วยเครื่องบิน แต่จริงๆ แล้วเราสามารถแบกส่วนเกินนั้นขึ้นเครื่องบินกับเราได้
ในบทความ ผู้เขียนบอกว่าเขาได้คุยกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ทำเงินได้หลายล้านดอลล่าร์ แต่ก็ยกเลิก Netflix เพราะเห็นว่าเธอไม่ค่อยได้ดูเท่าไร ถามว่าเธอมีกำลังจ่ายเงินค่าสมาชิกไหม แน่นอนว่าได้ แต่เธอแค่ไม่เห็นความจำเป็น ดังนั้น ถ้าขนาดคนที่มีเงินหลายล้านดอลล่าร์เห็นค่าของเงินค่าบริการ Netflix เพียงไม่กี่ดอลล่าร์ บางทีเราก็ควรจะเริ่มเห็นค่าของค่าใช้จ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้างละว่าสามารถลดได้ไหม
เป็นไงบ้างฮะ มีพฤติกรรมไหนที่เรายังทำกันอยู่ไหม? ถ้ายังมีอยู่ ก็ไม่ต้องกังวลไป เราสามารถค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตัวเองได้ เป็นการดีที่แล้วเรารู้ตัวแล้วรีบแก้ไข ดีกว่าการคิดว่าสิ่งที่เราทำนั้นไม่มีปัญหาอะไร กว่าจะรู้ตัวอีกทีมันก็บานปลายแล้ว ฉะนั้น ถ้ารู้ตัวว่าอันไหนสามารถแก้ได้ก่อน แก้ได้เร็ว ก็อย่ารีรอ ลงมือเลยจ้า~ แล้วหนทางสู่ความร่ำรวย ก็จะใกล้ขึ้นอีกก้าวแล้วละ!
เพื่อนผู้ใจดี