คนไทยส่วนใหญ่เมื่อได้ยินคำว่า “ปรัชญาความพอเพียง”
เข้าใจว่า ความพอเพียงคือ เรื่องของเกษตรกร
เข้าใจว่า ความพอเพียงคือ แค่การประหยัดเท่านั้น
เข้าใจว่า ความพอเพียงคือ เรื่องของคนจน
เข้าใจว่า ความพอเพียงคือ การไม่พัฒนา อยู่ที่เดิม
เข้าใจว่า การลงทุนแบบทุนนิยม ไม่เกี่ยวข้องกับ “ปรัชญาความพอเพียง”
นั่นคือความเข้าใจผิดของคนไทยต่อ แก่นแท้ของปรัชญาความพอเพียง แท้จริงแล้วปรัชญาความพอเพียงคือ… กรอบการตัดสินใจที่จะช่วยทำให้พวกเราอยู่ได้อย่างยั่งยืน โดยใช้ทั้งความรู้และคุณธรรม บนพื้นฐานของหลักการพอประมาณ มีเหตุผล และมีภูมิคุ้มกัน ซึ่งจะทำให้เกิดความสมดุลของสิ่งของวัตถุ สังคม วัฒนธรรม และ สิ่งแวดล้อม จากความหมาย เรามาดูวิธีการนำไปใช้ ผมแบบหลักคิดเป็นรูปของกระบวนการซึ่งจะต้องมี
Input->Process->output
ดังรูปต่อไปนี้
1. Input หรือ ข้อมูลที่จะใส่เข้าไป 2 ตัวหลัก
1.1 ความรู้ (Knowledge)
จะต้องมีความรู้และเข้าใจในสิ่งที่จะทำ ยิ่งรู้ละเอียดและลึกมากเท่าไรในสิ่งนั้น เลือกเป็นนักลงทุนแบบใด แบบ value investor หรือ technical ถ้าเลือกแบบ value investor ควรจะรู้อะไรบ้าง ยกตัวอย่างเช่น
- วิเคราะห์ธุรกิจและกลยุทธ์ทางธุรกิจ
- วิเคราะห์งบการเงิน
- วิเคราะห์รูปของรายได้
- ประมาณการกำไรของบริษัทได้
- ประมาณราคาหุ้นในอนาคตได้
- รู้จักพอร์ตการลงทุนของหุ้น แบ่งเป็น หุ้นคุณค่า หุ้นเติบโต และอื่นๆ
- รู้จักจังหวะเข้าทำการซื้อและขาย
- จิตวิทยาการลงทุน
1.2 คุณธรรม (virtues)
ความรู้ที่ดีอย่างเดียวไม่เพียงพอ จะต้องมีคุณธรรมประจำใจด้วย ตัวอย่างการพิจารณาด้าน
- เลือกบริษัทที่มี good governance หรือ ธรรมาภิบาล
- บริษัทมีการจัดการการควบคุมดูแล กิจการต่างๆ ผู้บริหารมีคุณธรรมไม่มีการ insider trade
- มีความซื่อสัตย์กับสังคม คู่ค้า ลูกค้า และคนอื่นๆ
- ไม่ลงทุนในบริษัท เช่น ค้าอาวุธ เหล้า หรือ มลพิษทางอากาศ
2. Process หรือ กระบวนการคิด 3 ตัวหลัก
ทั้ง 3 ตัวหลักจะต้องมีร่วมกัน ขาดตัวใดตัวหนึ่งไม่ได้ ถ้าขาดให้ถือว่า คิดไม่ครบด้านจะไม่ใช่ปรัชญาความพอเพียง
2.1 พอประมาณ (Moderation)
การไม่ทำอะไรเกินตัว รู้จักพอ รู้จักความสามารถของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น
- มีหนี้เยอะเกินไปหรือไม่?
- อย่าละโมบในการลงทุน อย่าลงทุนในหุ้นปั่น
- มีเงินเพียงพอจริงในการลงทุน?
- ต้องไปกู้เงินมาลงทุน?
2.2 มีเหตุผล (Reasonableness)
การเข้าใจหลักการ Causes and Effects หลักการเหตุและผลของการกระทำของเรา ถ้าทำสิ่งนี้ จะทำให้สิ่งนั้นตามมา ยกตัวอย่างเช่น
- อย่าเล่นหุ้นด้วยอารมณ์โดยเด็ดขาด
- ยึดมั่นในหลักการในการลงทุน
- อย่าเล่นหุ้นตาม กูรู เซียน
2.3 มีภูมิคุ้มกัน (Prudence)
การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) เตรียมพร้อมรับเหตุการณ์ที่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ยกตัวอย่างเช่น
- การเผื่อเงินสดฉุกเฉินให้เพียงพอไว้ถ้าเหตุการณ์ฉุกเฉิน
- จะต้องมีค่าเผื่อการลงทุน หรือ safety of margin
- จะต้องรู้ความเสี่ยงในการลงทุนในหุ้นตัวที่เราถืออยู่ ถ้าความเสี่ยงเกิดจริงๆ ต้องรู้ cut
- จะต้องรู้หลักการของ risk-reward ในการลงทุน
3. Output หรือ ผลที่จะได้จะต้องสร้างความสมดุล 4 ด้านคือ
3.1 สิ่งของวัตถุ (Material)
รู้จักใช้เงินทอง ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ทำให้เกิดความมั่งคั่งส่วนบุคคล เพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเงิน
3.2 สังคม (Social)
กิจการที่เราไปลงทุนนำเงินไปพัฒนาบ้านเมือง อยู่ร่วมกับผู้อื่นด้วยความสุข ไม่เบียดเบียนกัน
3.3 วัฒนธรรม (Cultural)
กิจการที่เราไปลงทุนนำเงินทำ CSR ทำให้เกิดคุณค่า ร่วมอนุรักษ์ค่านิยม ทำให้มีเอกลักษณ์และวัฒนธรรม
3.4 สิ่งแวดล้อม (Environmental)
กิจการที่เราไปลงทุนนำเงินไม่ทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม ดั่งที่ในหลวง ร.9 ได้ให้คำสอนไว้ว่า เศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวคิดที่ยึดหลักทางสายกลาง คำว่าความพอเพียง นั้นหมายถึงความพร้อมที่จะจัดการกับผลกระทบที่เกิดขึ้น จากทั้งภายนอกและภายใน ระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียง
ยังสามารถมองได้ว่าเป็นปรัชญาในการดำรงชีวิตให้มีความสุข ที่จำเป็นต้องใช้ทั้ง ความรู้ ความเข้าใจ ผนวกกับคุณธรรมในการดำเนินชีวิต เศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่เพียงการประหยัด แต่เป็นการดำเนินชีวิตอย่างชาญฉลาด และสามารถอยู่ได้ แม้นในสภาพที่มีการแข่งขัน และการไหลบ่าของโลกาภิวัตน์ นำสู่ ความสมดุล มั่นคง และยั่งยืน ของ ชีวิต เศรษฐกิจ และสังคม