การลงทุนแบบ Momentum เป็นที่นิยมของนักลงทุนทั่วโลก
Momentum จะเน้นซื้อหุ้นที่กำลังวิ่งขาขึ้น โดยมีแรงส่งจากการเติบโตของ EPS (กำไรต่อหุ้น) ดึงดูดนักลงทุนจำนวนมากเข้ามาซื้อ ส่งผลให้ราคาพุ่งขึ้นแรง
พูดภาษาแนว Momentum ซื้อแพง ไปขายที่แพงกว่า
ผู้มีชื่อเสียงด้าน Momentum Investing เช่น เจ้าของแนวคิด CANSLIM วิลเลียม โอนิล (William O’Neil) หรือ มาร์ค มิเนอร์วินี Mark Minervini ชนะรางวัล U.S. Investing Champion
แนวคิดการลงทุนแบบ Momentum Investing ได้แพร่หลายในไทยมาได้หลายปีแล้ว แต่ผมลองสังเกตว่าช่วงปี 2018-2019 เริ่มมีอัตราผลตอบแทนที่ลดลง จึงได้ทำการจำลองผลย้อนหลัง (Backtest)โดยใช้ระบบดังนี้
เงินลงทุนเริ่มต้น 5,000,000
Entry point
- ROE > 10%
- EPS Growth > 40%
- Momentum Rank > 80%
- Break ราคา 200 วัน
Exit point
- Below กว่า เส้น 100 วัน
- Stop loss -8%
Position Size
- 15%
- หุ้นจะต้องสภาพคล่องมีการซื้อขายไม่ต่ำกว่า 20 ล้าน
ผลออกมาตามตามภาพนี้
Trade Analysis
ผมได้ตั้งข้อสังเกตคือ
1) จำนวน trade
จำนวน trade ปี 2018-2019 ไม่แตกต่างจาก ปี 2013-2014
2) % Winner และ % Losers
% Winner และ % Losers ใกล้เคียงกัน ไม่แตกต่างกันมาก
3) Avg Profit
ในปี 2018-2019 Avg Profit 18.27%
ในปี 2013-2014 Avg Profit 71%
ดังนั้นข้อสันนิษฐานของผมว่า ทำไมปี 2018-2019 ผลตอบแทนลดลง คือ
ระบบ Momentum Investing ยังได้อยู่ แต่คุณภาพและการเติบโตของหุ้นไทยมีน้อยลง ประกอบกับ Momentum ของตลาดไทยน้อยลง SET Index ปี 2018 – 2019 ปรับตัวลดลงตลอด โดยเฉพาะ หุ้นในตลาด MAI ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
*ข้อมูลจาก page Dr. Finance Thailand
ถ้าลองภาพใหญ่จะได้ภาพดังนี้
ดังนั้นในยามที่ไร้ Momentum ทำให้ผลตอบแทนที่ออกมาไม่ได้มากเท่าเดิม แต่ระบบ Momentum Investing ก็ยังคงชนะตลาดหุ้นไทย ก็หวังว่าหลัง COVID-19 ตลาดไทยจะกลับมามี Momentum อีกครั้ง
WealthGuru
เริ่มลงทุนเพื่อเกษียณด้วยพอร์ตลงทุนแบบ Global Aggressive Hybrid พอร์ตกองทุนที่จัดโดย WealthGuru ซึ่งลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลก ทั้งเชิงรุกและเชิงรับ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้เงินสร้างความมั่งคั่งในอนาคต สามารถดูรายละเอียดและลงชื่อรับบริการได้ที่นี่ https://www.finnomena.com/port/wealthguru/