กลยุทธ์พอร์ตลงทุน Global Aggressive Hybrid ในปี 2020: ลดหุ้นไทย เพิ่มลงทุนหุ้นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market)

ในปี 2019 เศรษฐกิจโลกได้เข้าสู่ช่วงปลายวัฏจักรของการเติบโต (Late Cycle) พร้อมกับอัตราการขยายตัวรูปแบบใหม่ (New Normal) เนื่องจาก เกิดสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน อีกทั้งเศรษฐกิจโลกขยายตัวในอัตราชะลอลง และที่สำคัญ เศรษฐกิจไทยมีการชะลอตัวตามเศรษฐกิจโลก ซึ่งในปัจจุบัน ธนาคารกลางประเทศต่าง ๆ ได้ดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลาย และอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ทำให้อัตราดอกเบี้ยยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ

ผมได้สรุปผลการดำเนินการของพอร์ตในปี 2019 ก่อนดังนี้

1. ผลการดำเนินงานของพอร์ต

ภาพรวมผลดำเนินงานของกองทุนหุ้น

ผลตอบแทน 12 เดือนที่ผ่าน (ถึงวันที่ 20 ธันวาคม 2019)

กลยุทธ์พอร์ตลงทุน Global Aggressive Hybrid ในปี 2020: ลดหุ้นไทย เพิ่มลงทุนหุ้นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market)

ที่มา: FINNOMENA

ผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต

กองทุน TMBGQG ปรับตัวขึ้นมากที่สุดถึง 27.32% ตามมาด้วย กองทุน PRINCIPAL GEF-A 24.16%, กองทุน LHGROWTH-A 4.89% และ กองทุน JB25 1.68%  ในปี 2019 เป็นปีที่หุ้นไทยมีผลการดำเนินที่ไม่ดีอีกปี สวนทางกับหุ้นต่างประเทศ 

ภาพรวมผลดำเนินของกองทุนอสังหาริมทรัพย์

ผลตอบแทน 12 เดือนที่ผ่าน (ถึงวันที่ 20 ธันวาคม 2019)

กลยุทธ์พอร์ตลงทุน Global Aggressive Hybrid ในปี 2020: ลดหุ้นไทย เพิ่มลงทุนหุ้นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market)

ที่มา: FINNOMENA

ผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต

ปี 2019 นั้น เป็นปีที่ดีสำหรับกอง REITs เนื่องจากหุ้นผันผวน และดอกเบี้ยที่ต่ำ โดยปีนี้ กอง REITs ไทย เช่น กองทุน M-PROP-DIV ปรับตัวได้สูงสุดถึง 30%  ส่วนกองทุน PRINCIPAL IPROP-A ที่เป็นกอง REITs ผสมไทยและต่างประเทศ ก็ปรับตัวได้สูงสุด 22%

จะเห็นได้ว่า Max Drawdown ของกองทุน PRINCIPAL IPROP-A อยู่ที่ประมาณ -8% จะต่ำกว่า กอง REITs ไทยอยู่ที่เกือบ -20%  เนื่องจากมีการกระจายการลงทุน ไม่ได้กระจุกตัวในการลงทุนอยู่ประเทศไทยอย่างเดียว

ภาพรวมผลดำเนินงานของกองตราสารหนี้

ผลตอบแทน 12 เดือนที่ผ่าน (ถึงวันที่ 20 ธันวาคม 2019)

กลยุทธ์พอร์ตลงทุน Global Aggressive Hybrid ในปี 2020: ลดหุ้นไทย เพิ่มลงทุนหุ้นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market)

ที่มา: FINNOMENA

ผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต

                กองทุน TMBABF ได้ผลตอบแทนอยู่ที่ 3.63%  ถือว่ามีผลดำเนินงานที่ดี เมื่อเทียบกับกลุ่มเดียวกัน

ภาพรวมของพอร์ตลงทุน

ผลตอบแทนตั้งแต่เปิดพอร์ต (ถึงวันที่ 25 ธันวาคม 2019)

กลยุทธ์พอร์ตลงทุน Global Aggressive Hybrid ในปี 2020: ลดหุ้นไทย เพิ่มลงทุนหุ้นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market)

กลยุทธ์พอร์ตลงทุน Global Aggressive Hybrid ในปี 2020: ลดหุ้นไทย เพิ่มลงทุนหุ้นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market)

ที่มา: FINNOMENA

ผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต

ผลตอบแทนของพอร์ตตั้งแต่เปิดมาอยู่ที่ 2.97% ในขณะที่ SET TR จะอยู่ที่ -4.21%   ในส่วน Max Drawdown กลับดีกว่าเกือบ 3  เท่าของ SET TR  โดย Max Drawdown ของ SET TR จะอยู่ที่ -10% แต่พอร์ตจะอยู่ที่ -3.65% เท่านั้น

2. ทบทวนกลยุทธ์ Global Aggressive Hybrid 

กลยุทธ์พอร์ตลงทุน Global Aggressive Hybrid ในปี 2020: ลดหุ้นไทย เพิ่มลงทุนหุ้นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market)

Core-Satellite

ใช้กองทุนแบบ Passive มาเป็น Core เพื่อเน้นสร้างเสถียรภาพในพอร์ตลงทุนระยะยาว และใช้กองทุนแบบ Active เป็น Satellite เน้นความหลากหลาย เพื่อเพิ่มผลตอบแทน

Global Multi-Asset

เป้าหมายลงทุนเพื่อสะสมมูลค่าในระยะยาว  จัดพอร์ตแบบกระจายการลงทุนทั่วโลก ลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์  เช่น  หุ้น ตราสารหนี้ REITs และ ทองคำ

Tactical Assets Allocation

มีการปรับพอร์ตตามสภาวะตลาด

การสร้างพอร์ต Global Aggressive Hybrid นอกจากผลตอบแทนที่เราคาดหวัง สิ่งสำคัญไม่แพ้กัน หรือ อาจจะสำคัญที่สุด คือ “ ควบคุม Max Drawdown” ไม่ให้พอร์ตพังเวลาเกิด Crisis

3. แนวทางการปรับพอร์ต

Asset Allocation ที่ต้องพิจารณา

กลยุทธ์พอร์ตลงทุน Global Aggressive Hybrid ในปี 2020: ลดหุ้นไทย เพิ่มลงทุนหุ้นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market)

ที่มา: FINNOMENA
ข้อมูล ณ วันที่ 10 ธันวาคม 2019

สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/finnomena-ic/outlook-2020/

หุ้น

ประไทยเริ่มเข้าสู่ Long Term Structural Stagnation และเติบโตจำกัด

ภาวะที่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำเป็นเวลายาวนานจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง เนื่องจาก Population Demographics ของไทย เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมากขึ้น

ประเทศไทยไปลงทุนในต่างประเทศมากกว่าต่างชาติมาลงทุนในไทย (FDI) เกือบ 2 เท่า และเมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย ซึ่งมี GDP per Capita มากกว่าไทยถึง 30% หรือ ประเทศพัฒนา เช่น เกาหลีใต้ ทั้งสองประเทศก็ยังมี Outbound-to-Inbound Investment Ratio เพียง 1.6X เท่านั้น

ปัจจุบัน ธุรกิจธนาคารในไทย เจอความท้าทายจากการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยในระดับต่ำ หนี้ครัวเรือนสูง ดอกเบี้ยต่ำ 

กลยุทธ์พอร์ตลงทุน Global Aggressive Hybrid ในปี 2020: ลดหุ้นไทย เพิ่มลงทุนหุ้นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market)

ที่มา: Chulalongkorn Business School
ข้อมูล ณ วันที่: 20 ธันวาคม 2019

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และ Emerging Market ยังมีความน่าสนใจ

กลยุทธ์พอร์ตลงทุน Global Aggressive Hybrid ในปี 2020: ลดหุ้นไทย เพิ่มลงทุนหุ้นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market)

ที่มา:  Global Asset Allocation Views จาก J.P Morgan Asset Management
ข้อมูล ณ ธันวาคม 2019

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ แม้จะมี P/E ที่สูงแต่ยังมีความน่าสนใจตรงพื้นฐานของบริษัท โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี

สำหรับกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) กำไรจะเริ่มฟื้นตัว

ดังนั้นกลยุทธ์ที่แนะนำ คือ ลดสัดส่วนในหุ้นไทย และ เพิ่มน้ำหนักกระจายการลงทุนไปยังภูมิภาคเอเชียมากขึ้น

ตราสารหนี้

โอกาสการลงทุนในตราสารหนี้มีความน่าสนใจน้อยลง เมื่อเทียบกับการลงทุนในหุ้น

ดังนั้นกลยุทธ์ที่แนะนำคือ

ลดสัดส่วนของตราสารหนี้จาก 20% เป็น 15% 

กองทุนอสังหาริมทรัพย์

กลยุทธ์พอร์ตลงทุน Global Aggressive Hybrid ในปี 2020: ลดหุ้นไทย เพิ่มลงทุนหุ้นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market)

ส่วนต่างอัตราปันผล REITs ไทย กับพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปี
ที่มา: Bloomberg
ข้อมูล ณ วันที่ 10 ธันวาคม 2019

ในปี 2020 ดอกเบี้ยยังคงต่ำอยู่ ในขณะที่ Yield Spread อยู่ในจุดน่าสนใจ ดังนั้นให้ยังคงสัดส่วนเดิมของกองทุนอสังหาริมทรัพย์ คือ 20%

ดังนั้นกลยุทธ์ที่แนะนำ คือ

ยังคงสัดส่วนของกองทุนอสังหาริมทรัพย์ไว้คงเดิมคือ 20% เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง

ทองคำ

แม้จีนและสหรัฐฯ มีโอกาสทำข้อตกลงในเฟสแรกได้ ทำให้อยู่ในภาวะ Risk-On  แต่ทุกอย่างก็ไม่แน่นอน สำหรับ Trade-War ระหว่างจีนและอเมริกา

ดังนั้นกลยุทธ์ที่แนะนำ คือ

เพิ่มทองคำ 5%  เพื่อเป็นการทำ hedge portfolio  ซึ่งก็อาจจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดให้อนาคต 

สัดส่วนการลงทุน

กลยุทธ์พอร์ตลงทุน Global Aggressive Hybrid ในปี 2020: ลดหุ้นไทย เพิ่มลงทุนหุ้นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market)

สัดส่วนการลงทุนที่แนะนำ ณ ปัจจุบัน
ที่มา: FINNOMENA
ข้อมูล ณ วันที่ 25 ธันวาคม 2019

จะเห็นได้ว่า สัดส่วนของหุ้นยังคงเดิมคือ  60% เหมือนเดิม เพียงแต่เปลี่ยนสัดส่วนในการถือหุ้นไทยและหุ้นต่างประเทศ  สัดส่วนของกอง REITs ยังเหมือนเดิมคือ 20% แต่ปรับลดกองทุนตราสารหนี้เหลือ 15% และเพิ่ม ทองคำ 5%

เพิ่มกองทุน ASP-ASIAN สำหรับลงทุนใน Asia ex Japan

ภูมิภาคหลักที่แต่ละกองทุนลงทุน

กลยุทธ์พอร์ตลงทุน Global Aggressive Hybrid ในปี 2020: ลดหุ้นไทย เพิ่มลงทุนหุ้นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market)

ที่มา: morningstar thailand
ข้อมูล ณ วันที่: 25 ธันวาคม 2019

10 หุ้นหลักที่อยู่ในแต่ละกองทุน   

กลยุทธ์พอร์ตลงทุน Global Aggressive Hybrid ในปี 2020: ลดหุ้นไทย เพิ่มลงทุนหุ้นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) 

ที่มา: morningstar thailand
ข้อมูล ณ วันที่: 25 ธันวาคม 2019

เมื่อเพิ่มกองทุน ASP-ASIAN เข้ามาจะช่วยให้กระจายการลงทุนไปยัง ASIAN มากขึ้น และสามารถเพิ่มและไม่พลาดโอกาสการภูมิภาคที่จะเติบโตในอนาคต

เพิ่มกองทุน SCBGOLDH

Hedge portfolio โดยใช้ทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยง เหตุการณ์ไม่คาดฝันที่จะเกิดขึ้น

WealthGuru

เริ่มลงทุนเพื่อเกษียณด้วยพอร์ตลงทุนแบบ Global Aggressive Hybrid พอร์ตกองทุนที่จัดโดย WealthGuru ซึ่งลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลก ทั้งเชิงรุกและเชิงรับ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้เงินสร้างความมั่งคั่งในอนาคต สามารถดูรายละเอียดและลงชื่อรับบริการได้ที่นี่ https://www.finnomena.com/port/wealthguru/

พอร์ตเก็บเงินก้อนเพื่อลูก และเพื่อเกษียณโดย WealthGuru

 


คำเตือน

ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน |  ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน

 

TSF2024