
เมื่อวานมีลูกค้าทำงานที่ Singapore ให้บริหารเงินให้โดยเงินเป็น USD ต้องการลงทุนระยะสั้น 2 ปี หรือไม่เกิน 3 ปี ต้องแบบเสี่ยงต่ำ ผมเลยนำ Buffer ETF เข้ามาในพอร์ตการลงทุนด้วย
อะไรคือ Buffer ETF?
Buffer ETFs (หรือที่เรียกว่า Defined Outcome ETFs) เป็นกองทุนที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้นักลงทุน สามารถลดความเสี่ยงในตลาดโดยให้การป้องกันขาดทุน ในระดับที่กำหนด (Buffer) ในขณะที่ยังคงได้รับผลตอบแทนที่จำกัด (Cap) เมื่อดัชนีหรือสินทรัพย์อ้างอิงมีการเคลื่อนไหวขึ้น
ทำไมผมจึงใช้ตัวนี้? เพราะกลยุทธ์การลงทุนแบบใช้ Buffer ETFs เหมาะสมกับสถานการณ์ตลาดที่ตลาดหุ้น มีการปรับตัวขึ้นอย่างมากและมีความเสี่ยงที่อาจจะเกิดการปรับฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผลตอบแทนของตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมาสูงเกินความคาดหมายของนักลงทุน
เหตุผลที่ Buffer ETFs เหมาะสมกับสถานการณ์เหล่านี้คือ
การป้องกันความเสี่ยงขาลง
Buffer ETFs มีกลไกในการป้องกันความเสี่ยงขาลงในระดับหนึ่ง โดยจะช่วยลดผลขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นหากตลาดปรับตัวลดลง แต่ก็มีข้อจำกัดคือหากตลาดลดลงมากกว่าระดับที่ป้องกันไว้ ก็ยังอาจขาดทุนได้
การจำกัดผลตอบแทน
เพื่อแลกกับการป้องกันความเสี่ยงขาลง Buffer ETFs จะจำกัดผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับเมื่อตลาดปรับตัวขึ้น ซึ่งอาจเป็นประโยชน์เมื่อตลาดมีการปรับตัวขึ้นอย่างมากและอาจยากที่จะทำผลตอบแทนได้สูงเท่าเดิม
ความเรียบง่าย
Buffer ETFs ช่วยลดความยุ่งยากในการสร้างกลยุทธ์ option เอง ทำให้การลงทุนง่ายขึ้นเหมือนการซื้อ ETF ทั่วไป
แต่ก็มีข้อเสีย
การจำกัดผลตอบแทน
แม้ว่าการจำกัดผลตอบแทนจะเป็นข้อดีในบางสถานการณ์ แต่ก็เป็นข้อเสียเมื่อตลาดปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องและนักลงทุนพลาดโอกาสในการทำกำไรได้มากกว่า
ความเสี่ยงหากตลาดลงมากกว่าระดับป้องกัน
หากตลาดลดลงมากกว่าระดับที่ป้องกันไว้ (เช่น 10%) นักลงทุนก็ยังอาจขาดทุนได้ ซึ่งหมายความว่า Buffer ETFs ไม่ได้ให้การป้องกันความเสี่ยงแบบ 100%
ผลตอบแทนตามระยะเวลา
ผลตอบแทนของ Buffer ETFs จะถูกกำหนดไว้ เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาการถือครอง 12 เดือน หากนักลงทุนซื้อหรือขาย ETF ก่อนครบกำหนด อาจได้รับผลตอบแทนที่ไม่ตรงกับที่คาดหวัง
ยกตัวอย่างจากภาพที่ 1 innovator Buffer ETF
ถ้ามี Buffer 9% จะเห็นได้ว่า ถ้า S&P500 ปรับตัวลงไม่ถึง -9% ผลตอบแทนจะเป็น 0% แต่ถ้ามากกว่า ผลตอบแทนก็จะติดลบ เช่น S&P500 ปรับตัว -15% ตัว ETF ก็จะติดลบแค่ -6% เป็นต้น
ดังนั้นจะขึ้นอยู่กับ Buffer Level ซึ่งจะมี Cap คือผลตอบแทนจะไม่เกิน Cap ที่มีอยู่ เช่น Cap ที่ 10% ถ้าตลาด S&P500 ปรับตัวเพิ่ม 20% ก็จะได้ผลตอบแทนแค่ 10%
ยกตัวอย่างจากภาพที่ 2 จะเห็นชัดมากขึ้น ดูตามสี่เหลี่ยมสีแดง
PSMD ที่ จะมี Buffer ที่ -15% แต่มี Cap ที่ 10.3%
JANW จะมี Buffer ที่ -20% แต่มี Cap ที่ 6.7%
จะเห็นได้ว่า ปี 2022 S&P500 ตกไปติดลบประมาณ -18% ทำให้ PSMD ติดลบ -3.98%
ในขณะที่ JANW ติดลบแค่ -0.65% เท่านั้น
ดังนั้นในปีนี้ 2025 ผมมองว่าตลาดมี upside จำกัด แต่ downside ก็มีโอกาสตลาดปรับฐานมาก เลยเลือก Buffer ETF เป็นส่วนหนึ่งใน Portfolio Model
สนใจลงทุน Global Aggressive Hybrid Portfolio สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://port.finnomena.com/plan-select/plans/guruport-hyb
WealthGuru
คำเตือน
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนมีการลงทุนกระจุกตัวในประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”