หลายท่านอาจสงสัยว่า นี่จะวิกฤตหรือยัง และกำลัง งงงวย กับข่าวต่างๆ ที่ออกมาว่า ตลาดหุ้นตก เพราะผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลขึ้นไปสูงไวเกินที่ตลาดคาด และตลาดหุ้นเทคฯ “แพง” และ Trump tweet อะไรบ้าๆ ออกมา จึงเข้า Risk off Mode … ข่าวหรือความเห็นเหล่านั้น มันไม่ผิด แต่มันเป็น “ไก่กับไข่” เพราะแบบนั้นจึงแบบนี้ ไม่ได้บอกเราถึงสาเหตุที่แท้จริง
สิ่งที่เป็นสัญญาณ เตือนเรามาตลอดในรอบนี้ มันไม่ใช่ yield curve .. อันนั้นตลาดรู้กันอยู่แล้ว และหุ้นไม่ได้ตกเพียงเพราะมันจะ inverted (เรื่องนี้หลายท่านยังเข้าใจไม่ถูก) และไม่ใช่ yield ขึ้นเร็วกว่าที่คาด เพราะที่วิ่งแรงๆ ปีนี้ มาจากความเชื่อว่าน้ำมันจะกลับมาแพง ส่งผลต่อ yield ค่อนข้างชัด …. สิ่งที่เป็นสัญญาณ ที่ดีมากคือ “ราคาสินทรัพย์” ของ Supply chain กลุ่มเทคโนโลยี ที่ระส่ำมาสักระยะแล้ว จนวันนี้ระเบิดออกมา
เกิดอะไรขึ้นกับ Supply chain ของกลุ่มเทคโนโลยี?
หุ้น Supply chain ของกลุ่มเทคโนโลยีตั้งแต่กลุ่มต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำบางตัวได้ปรับตัวลงสวนทางกับดัชนีตั้งแต่ต้นปี จนมาวันนี้เทกระจาดพร้อมกันทั้งโลกไปเลย
กลุ่มต้นน้ำหรือกลุ่มวัตถุดิบ เช่น แร่ลิเธียมและโคบอลต์ ทองแดง ได้ปรับตัวลงในไปแล้ว 20-40%
หุ้นกลุ่มกลางน้ำในยุคนี้ แกนหลักของมันก็คือกลุ่ม Semiconductors นั่นเองครับ เพราะถูกใช้ในทุกอย่าง
หุ้นกลุ่มกลางน้ำของกลุ่มเทคโนโลยีแบ่งคร่าวๆ ตามลักษณะธุรกิจได้ดังนี้
- Fluid management (กลุ่มวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตชิพ): Ichor Holdings
- Equipment (กลุ่มอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตชิพ): Applied Materials
- Integrated device manufacturer (กลุ่มผู้ออกแบบ, ผลิต และขายผลิตภัณฑ์): Intel Corporation และ Western Digital
- Fabless (กลุ่มผู้ออกแบบผลิตภัณฑ์ ไม่ได้ผลิตเอง): Apple, AMD และ NVIDIA
- Foundry (กลุ่มรับผลิตอย่างเดียว ไม่ได้ออกแบบ): TSMC และ SMIC
- Testing and assembly (กลุ่มตรวจสอบและประกอบผลิตภัณฑ์): Amkor Technology และ Teradyne
ตามภาพประกอบที่ 1 จะสังเกตได้ว่า
1) หุ้นกลางน้ำของกลุ่มเทคโนโลยีได้ปรับตัวลงเรื่อยๆ หลังทำระดับสูงสุดในช่วงเดือนมีนาคมทั้ง Ichor, Applied Materials, Amkor และ Western Digital ในขณะที่ Nasdaq ไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ
2) กลุ่มผู้ผลิตและผู้ขายสินค้าในช่วงปลายน้ำด้วย เช่น Intel ก็อ่อนตัวลงมาแม้ Nasdaq จะยังคงทำจุดสูงสุดใหม่
3) ขณะที่กลุ่มปลายน้ำ เช่น กลุ่ม FAANG (ภาพประกอบที่ 2) ก็ยังเหลือเพียง Apple เท่านั้นที่ยังแกว่งอยู่ในช่วงระดับราคาสูงสุดในขณะที่เพื่อนๆ เริ่มปรับลงมาบ้างแล้ว
ถ้าเรามองธุรกิจเทคโนโลยีทั้งกลุ่มเป็นก้อนเดียวกัน หากกลุ่มต้นน้ำ, กลางน้ำ และปลายน้ำ (บางตัว) ได้ออกอาการอ่อนแรง (มาก) ไปบางส่วนแล้ว จะเป็นการแสดงถึงอุปสงค์ (Demand) ของตลาดที่โตไม่ทันราคาของหุ้นหรือไม่ ซึ่ง Demand ที่มีปัญหาในตอนนี้หลักๆ จะเป็น Smartphone และเทคโนโลยีที่เก่าลง โดยเฉพาะในกลุ่ม storage เนื่องจากฝั่ง supply ปรับตัวตามไม่ทัน (โดยเฉพาะบ้านเรา)
เท่านี้น่าจะเป็นเหตุผลที่เพียงพอที่นักลงทุนอย่างเราจะต้องเฝ้าระวังการปรับตัวของกลุ่มหุ้นที่ร้อนแรงแห่งปีนี้อย่างใกล้ชิด พูดง่ายๆ คือหากความต้องการจากผู้บริโภคของเทคปลายน้ำอย่างเช่น Tesla, Apple, Facebook, ยังมีการเติบโตอยู่ ก็ไม่ควรที่ supply chain จะมีอาการราวกับว่ายอดขายจะหายแบบโหดร้ายเช่นนี้ แต่ตอนนี้ทั้งฝั่งอเมริกาและจีน เรียกว่าตึงตัวสุดๆ ที่จะมีสมาชิกเพิ่ม ลองนึกดูว่า Facebook และ Tencent จะมีสมาชิกเพิ่ม จะต้องทำอย่างไร นอกจากเปิดตลาดจีนและตลาดโลก แลกหมัดกัน พูดถึงเรื่องนี้ก็จะมาถึงอนาคตที่มืดบอดลงของเทคอเมริกา เป็น Tech War กับ EU ซึ่งแน่นอนว่าเป็นข่าวร้ายกับทางอเมริกา ไว้มาเล่าต่อนะครับ
ที่มาบทความ: https://bottomliner.co/2018/10/12/tech-supply-chain/