BYD – Tesla แห่งเมืองจีน?
เมื่ออเมริกามีสินค้าหรืออะไรใหม่ๆ จีนก็มักจะมีคล้ายๆกัน แต่เป็นเวอร์ชั่นของตัวเอง
อเมริกามี Facebook จีนก็มี Tencent
อเมริกามี Google จีนก็มี Baidu
อเมริกามี Amazon จีนก็มี Alibaba
และแน่นอน
เมื่ออเมริกามี Tesla จีนก็มี BYD .. อาจจะงง Tesla มันรถหรูไม่ใช่เหรอ … เค้ากำลังเริ่ม Mass และออกรถรุ่นต่ำลงมา ส่วน BYD ก็มีรถหรูเช่นกันครับ
ซึ่ง Berkshire Hathaway ของบัฟเฟต ก็ได้เข้าลงทุนในบริษัทนี้มาตั้งแต่ปี 2008
ราคา BYD พุ่งขึ้นหลัง บัฟเฟต เข้าลงทุน
BYD นั้นประกอบด้วยธุรกิจใหญ่ๆ 3 ธุรกิจด้วยกัน คือ
- ธุรกิจผลิตและประกอบชิ้นส่วนอิเล็คโทรนิค ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับโทรศัพท์มือถือ คิดเป็นสัดส่วน 41%
- ธุรกิจแบตเตอรี่และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Solar คิดเป็นสัดส่วน 8%
- ธุรกิจรถยนต์ที่มีทั้ง รถที่ใช้น้ำมัน รถยนต์ hybrid และรถยนต์ไฟฟ้า (EV) คิดเป็นสัดส่วน 51% ซึ่งมี eBus และ Skyrail ด้วย จะอธิบายท้ายบทความ
ช่วงก่อตั้งในปี 1995 BYD เริ่มจากธุรกิจการผลิตพวกแบตเตอรี่ (Rachargable Battery) เพื่อลดการนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น จากนั้นประมาณปี 2000 บริษัทก็เริ่มเข้าสู่ธุรกิจผลิตและรับประกอบอุปกรณ์เกี่ยวกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งต่อมา BYD ได้นำธุรกิจส่วนนี้เข้าจดทะเบียนในตลาดฮ่องกง ภายใต้ชื่อ BYD Electronic (0285:HK)
จากนั้นในปี 2002 BYD ก็ได้เข้าเทคโอเวอร์ Tsinchuan Automobile Company เพื่อก้าวเข้าสู่ธุรกิจรถยนต์ และต่อยอดความเชี่ยวชาญในการผลิตแบตเตอรี่มาใช้ในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า
จะเห็นได้ว่าในแต่ละช่วงเวลา BYD ได้กระโดดเข้าสู่ธุรกิจที่เป็นเมกะเทรนด์มาโดยตลอด
ในบทความนี้เราขอโฟกัสที่ธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังมาแรงมากๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะในวันที่ทุกคนจับจ้องอยู่กับบริษัทอย่าง Tesla
ในช่วงแรกๆนั้น BYD ก็ผลิตรถยนต์ที่ใช้น้ำมันแบบทั่วไปขายเหมือนเจ้าอื่นๆ โดยมียอดขายติด 1ใน 10 รถยนต์ที่ขายได้มากที่สุดในจีน และถือว่าเป็นยี่ห้อของคนจีนที่ขายได้มากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง
ต่อมาเมื่อกระแสรถยนต์ไฟฟ้ามา BYD จึงเริ่มมาผลิตรถยนต์ที่เรียกว่า plug-in electrified vehicle (PEV) ซึ่งสามารถแยกย่อยไปได้อีกสองประเภทคือ plug-in hybrid electric vehicle (PHEV) และ battery electric vehicle (BEV) หรือที่เรียกว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าเต็มตัว
Market Share สูง ยอดขายเติบโตก้าวกระโดด
ในปี 2016 จีนนั้นมียอดขายรถยนต์ถึง 13.35 ล้านคัน ซึ่งในจำนวนนี้ประมาณ 500,000 คันนั้นเป็นยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า
BYD นั้นมียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าไปทั้งสิ้น 120,000 คัน ครอง Market share ประมาณ 24% ซึ่งมากที่สุดในจีน (ปี 2016 Tesla มียอดขายอยู่ที่ประมาณ 70,000 คัน)
ยอดขายรถไฟฟ้าของ BYD นั้นเริ่มเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงปี 2015 เนื่องจากมาตราการช่วยเหลือของรัฐบาลที่เรียกว่า EV Policy โดยรัฐบาลจะช่วยสนับสนุน (Subsidise) ให้ผู้ซื้อสามารถซื้อรถยนต์ไฟฟ้าในราคาที่ถูกลงราวๆ 33,000 หยวน หากซื้อ PHEV หรือถูกลงราว 55,000 หยวน หากซื้อ BEV เพื่อแก้ไขปัญหามลภาวะในเมืองใหญ่ๆ อย่าง ปักกิ่ง และเซี่ยงไฮ้
อย่างไรก็ตาม กฎนี้ได้ถูกยกเลิกในช่วงต้นปีที่ผ่านมา เนื่องจากไม่ได้สร้างแรงจูงใจที่แท้จริงในการลดมลภาวะ เพราะคนส่วนมากซื้อรถยนต์ไฮบริดในราคาที่ถูกจากการสนับสนุนของรัฐบาล แต่พอมาใช้จริงๆ ก็ใช้น้ำมันตามเดิมเพราะแท่นชาร์ตในจีนนั้นมีอยู่น้อย นอกจากนี้ยังทำให้ผู้ผลิตรายเล็กๆ ที่คุณภาพต่ำก็ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าออกมาขายเป็นจำนวนมาก
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ยอดขายของ BYD ตกลงในช่วงครึ่งแรกของปี 2017 ที่มีการยกเลิก EV Policy จากนั้นยอดขายก็มีการปรับตัวดีขึ้นหลังจาก BYD มีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ด้านราคา
รัฐบาลจีนเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับนโยบาย EV Policy จึงได้ประกาศนโยบายใหม่ขึ้นมาที่เรียกว่า New Energy Vehicle (NEV) ซึ่งนโยบายนี้รวมถึง PHEV, BEV และ Fuel Cell Vehicle (FEV) ด้วย ซึ่งกฏนี้ก็มีการใช้หลักการเรื่อง Carbon Credit ด้วย
New Energy Vehicle นั้นกล่าวว่า บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ในจีนนั้นจะต้องมียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าคิดเป็น 8% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดในปี 2018 และจะเพิ่มขี้นเป็น 10% และ 12% ในปี 2019 และ 2020
แน่นอนว่ากฎนี้กระทบผู้ผลิตรถยนต์รายๆเล็กในจีน และทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่ต้องหันมาผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น ส่วน BYD นั้นมียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าถึงเกณฑ์อยู่แล้วจึงไม่มีปัญหา จึงเป็นไปได้สูงว่า BYD จะสามารถเติบโตไปกับเทรนด์รถยนต์ไฟฟ้าในจีนไปได้อีกไกล ซึ่งนอกเหนือจากรถส่วนบุคคลแล้ว ทางการจีนก็มีความต้องการให้เกิดการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ใน Taxi และ รถประจำทางด้วย
นอกจากนี้ BYD ยังสามารถขาย Carbon Credit หรือหน่วยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ที่ลดลง ให้กับบริษัทที่ไม่สามารถขายรถยนต์ไฟฟ้าได้ตามเกณฑ์ที่ทางการตั้งไว้
BYD นั้นไม่ได้มีดีแค่รถยนตร์ไฟฟ้าส่วนบุคคล (Passenger car) แต่บริษัทก็ได้มีการผลิตรถเมล์ไฟฟ้าที่เรียกว่า e-BUS ด้วย ซึ่งไม่ได้ขายเฉพาะในจีนเท่านั้น แต่บริษัทได้มีการส่งออกไปเมืองใหญ่ๆในต่างประเทศมากมาย ทั้งในลอนดอน ซิดนีย์ บริสเบน และรวมถึงแอลเอที่บริษัทมีโรงงานผลิตอยู่ที่นั้น ยอดขาย e-Bus ของ BYD นั้นคิดเป็นประมาณ 20% ของยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด ไม่แน่ว่าในอนาคต อาจจะได้เห็นรัฐบาลไทยสั่งรถ e-Bus ของ BYD มาใช้ก็เป็นได้
นอกจากนี้ BYD ยังมีโมเดลธุรกิจใหม่ที่เรียกว่า Skyrail ซึ่งใช้งบค้นคว้าและวิจัยกว่า 5,000 ล้านหยวน เป็นเวลากว่า 5 ปี เพื่อจะรองรับเทรนด์ Urbanization
Skyrail คือรถไฟฟ้าแบบ Monorail ที่จะนำมาใช้ในเมืองขนาดกลาง ว่ากันว่า Skyrail นั้นใช้งบลงทุนเพียง 20% ของรถไฟฟ้าทั่วไป และใช้เวลาในการสร้างแค่ 1 ใน 3 ของการสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินหรือบนดิน นอกจากนี้ Skyrail ยังมีประโยชน์ในแง่การเวนคืนที่ดินที่น้อยลงเพราะมีมุมเลี้ยวที่แคบกว่า และการขับเคลื่อนก็เงียบกว่า
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา BYD พึ่งประกาศสร้าง Skyrail แห่งแรกในจีน ที่เมือง Yinchuan ระยะทาง 5.67 km จำนวน 8 สถานี ด้วยงบประมาณ 600 ล้านหยวน ซึ่งสามารถรองรับคนได้ประมาณ 10,000 ถึง 30,000 คนต่อชั่วโมง ด้วยความเร็วสูงสุด 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ทั้งนี้ BYD มีแพลนจะสร้าง Skyrail ในอีก 20 เมืองในจีนในอนาคต นอกจากในจีนเองแล้ว BYD ก็ได้งานสร้าง Skyrail ในเมือง Iloilo ของฟิลิปปินส์ ซึ่งจะเปิดใช้ในปี 2019
นักวิเคราะห์ต่างคาดการณ์ว่าธุรกิจนี้จะสร้างรายได้ให้กับ BYD ประมาณ 5,000 ล้านหยวนในปีนี้ และโตถึง 30,000 ล้านหยวนในปี 2019
บทสรุป – รถไฟฟ้า มี demand สูง อีกทั้ง cost ต่างๆถูกลง และตัวบริษัทกระจายความเสี่ยงดี
BYD นั่นเป็นผู้นำในตลาดจีน บวกกับการ diversify รายได้ที่น่าสนใจ อย่าง eBus และ Skyrail ที่จะสร้างรายได้อย่างยั่งยืนในอนาคต ทำให้ BYD เป็นอีกหุ้นที่น่าจับตามองในจีน ความเสี่ยงของ BYD คือการบุกตลาดของ Tesla ที่มีเทคโนโลยีที่ดีกว่า
โดยมีความเป็นไปได้ว่า Tesla อาจจะจับมือกับ Tencent ที่เป็นผู้ถือหุ้นเพื่อเข้ามาในจีน อย่างไรก็ตาม BYD ก็ได้จับมือกับ Daimler AG ก่อตั้งบริษัท Denza เพื่อผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่เจาะตลาด Luxury โดย BYD เผยว่าโมเดลใหม่ของ Denza ที่จะเปิดตัวในปีหน้านั้นสามารถวิ่งได้ถึง 300 ไมล์ต่อการชาร์ตหนึ่งครั้ง ซึ่งมากกว่า Tesla Model 3 ที่เปิดตัวในเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา
ป.ล. ใครจะมอง eBus กับ Skyrail ไปเทียบ Hyperloop ของ Elon Musk ก็ได้นะครับ ถึงแม้จะคนละเทคโนโลยี XD
ติดตาม BottomLiner ทาง Facebook ได้ที่ https://www.facebook.com/bottomliner/
หรือติดตาม BottomLiner ทาง line คลิ๊ก https://line.me/R/ti/p/%40bottomliner
หรือกดเพิ่มเพื่อน ค้นหา id แล้วพิมพ์ @bottomliner (ใส่ @ ด้วยครับ)