หลายคนในปีนี้จะบอกว่าการลงทุนในตลาดหุ้นนั้นไม่ง่ายเลย ตลาดดูเหมือนจะมีความวุ่นวายเหลือเกิน และเดากันไม่ถูกว่าจะมีแนวโน้มไปทางไหน แต่ถ้าดูจากระยะเวลา 2-3 เดือนที่ผ่านมา ก็จะเห็นว่าตลาดหุ้นได้ดีดตัวขึ้นไปมากกว่า 10% แล้ว ส่วนใครที่ทยอยซื้อในช่วงต้นปี และเพิ่งขายในช่วงที่ผ่านมา
ก็คงยิ้มเห็นกำไรกันเป็นแถว ถือว่าเป็นรางวัลของการซื้อที่ถูกจังหวะ และทนถือไว้ได้ในช่วงที่มีแต่เรื่องร้าย ๆ ถ้าเราไม่เอาตัวเข้าใกล้กับตลาดมากจนเกินไป เราก็จะมองเห็นภาพอะไรต่าง ๆ ได้ชัดขึ้น และก็จะช่วยให้สงบสติอารมณ์ มีใจนิ่ง ๆ กันได้ เพราะโดยรวมแล้วตลาดในประเทศก็ยังคงผันผวนอยู่ ด้วยเหตุผลและเรื่องราวต่าง ๆ ที่ตลาดตื่นเต้นไปกับมัน ดังนี้
วิกฤตโลก มีคนเริ่มกังวลว่าเรากำลังเข้าสู่ภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจโลกอีกครั้งหรือเปล่า เพราะต่างพูดว่าช่วงนี้เป็นช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ ถึงขนาดที่ได้ยินว่า ไทยเข้าสู่ภาวะเงินฝืดแล้ว สงสัยจะแปลว่าเศรษฐกิจฝืดเคืองมาก ซึ่งจริง ๆ แล้วเราจำเป็นต้องดูการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการเติบโตของรายได้ประกอบไปด้วย
ส่วนวงจรเศรษฐกิจในแต่ละรอบจะอยู่ในช่วง 8-10 ปี ทำให้หลายคนเดากันว่าอเมริกาน่าจะเข้าสู่ช่วงปลายวงจรเศรษฐกิจแล้ว ถ้าใครลงทุนในตลาดต่างประเทศก็ต้องระวังมากหน่อย แต่นั่นไม่ได้หมายถึงว่า จะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลกอีกครั้ง
มังกรผวา สิ่งที่ช่วยชูโรงให้เรารู้สึกหัวใจสูบฉีดแรงเป็นระยะ ๆ คือ ความปั่นป่วนของตลาดหุ้นจีน โดยเฉพาะการดูแลเสถียรภาพตลาดของจีนที่คอยสร้างความตะลึงให้เหล่านักลงทุนชนิดที่ว่าเป็นหนังสือที่เดาไม่ออกว่าข้างในจะมีเนื้อหาอะไร
บอกข่าวร้ายกับฉันเลย…บอกมาเลยก็จบกันส่วนข่าวร้ายในช่วงที่ผ่านมาที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงได้แก่ ข่าวเรื่อง OPEC ไม่คิดลดกำลังการผลิตลง การขาดทุนของธนาคารระดับโลกอย่างดอยช์แบงก์ การประมูล 4G แพงกว่าที่คาด หรือผู้บริหารบริษัทยักษ์ใหญ่โดนเรื่อง Inside Trading ตอนซื้อแม็คโคร เป็นต้น
โดนกั๊กทุกครั้งเวลามีลุ้น ในเวลาที่สัญญาณทางเศรษฐกิจเริ่มจะดีขึ้นมา ทางนักวิเคราะห์ก็จะเริ่มกังวลเรื่อง Fed ของอเมริกาที่จะพิจารณาขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งก็จะส่งผลให้นักลงทุนเทขายหุ้น และดัชนีโดนกดอยู่กับที่เช่นกัน
จะเห็นได้ว่าการลงทุนในปีนี้ จะขึ้นอยู่กับอัตราการส่งออกและค่าเงินหยวนของจีน ราคาน้ำมัน รวมถึงนโยบายดอกเบี้ยของ Fed เป็นหลัก ส่วนเรื่องวิกฤตเศรษฐกิจในการเกิดวิกฤตแต่ละครั้งจะมีสาเหตุหลักมาจากการหดตัวของปริมาณเงิน แต่ว่าตอนนี้เรายังมีปริมาณเงินที่ล้นโลกอยู่ ความเป็นไปได้ที่จะเกิดนั้นจึงต่ำมาก
ถ้าจะให้ผมวิเคราะห์ในภาพกว้างและเหตุการณ์โดยรวม โดยในช่วงที่ตลาดหุ้นของโลกจะลงนั้น มักจะเป็นการปรับฐานใหญ่ของตลาดทั่วโลก และมันก็จะยังเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกเรื่อย ๆ สักระยะ ส่วนธนาคารโลกก็ยังคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกยังเติบโตได้ ขณะที่ราคาน้ำมันยังต่ำอยู่ ปัญหาเงินเฟ้อไม่มี ต้นทุนการผลิตไม่สูงขึ้น
โดยเฉพาะหุ้นไทยยังมีหลายตัวที่จัดว่าราคาหุ้นต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานอยู่มาก ประกอบกับปริมาณเม็ดเงินที่ยังล้นโลกนี่แหละครับ ที่ทำให้ระยะยาวมีลุ้นอย่างมากสำหรับนักลงทุน โดยเฉพาะในการพักฐานแต่ละครั้ง ยิ่งย่อมากเท่าไร ก็ยิ่งสะสมพลังในการดีดกลับมากเท่านั้น อีกทั้งยังรอเม็ดเงินจากภาครัฐในการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้วย สิ่งเหล่านี้จะส่งผลดีสำหรับการลงทุนระยะยาว เพียงแต่ตอนนี้ตลาดอยากรับฟังข่าวแบบไหนเท่านั้น
ถ้าในปีนี้นักลงทุนมองภาพไกลออกไปอีกหน่อย…ตื่นเต้นกับ ความผันผวนน้อยลงอีกนิด…ลดความกังวลว่าช่วงนี้ไม่ใช่วิกฤตเศรษฐกิจ… พยายามหาช่วงของจุดต่ำสุดให้เจอว่าอยู่แถวไหน…แล้วทยอยซื้อสะสมในช่วงนั้น แล้วละก็…ต่อให้ติดดอยหรือถูกหาว่าเป็นเม่าต่ำเตี้ยแค่ไหนแต่เราคือ “เม่า…เก้าชีวิต” ที่พร้อมจะกระพือปีก ฟื้นคืนชีพทุกครั้งในแต่ละรอบของวงจรชีวิตหุ้น พร้อม ๆ กับผลตอบแทนอันคุ้มค่าให้เราได้สมหวังกันครับ