ยิ่งใส่มาก...ยิ่งได้มาก

“ถ้าส่งเงินสมทบมากขึ้น แล้วตอนแก่จะได้เงินมากขึ้นด้วยใช่มั้ย”

ผมได้สืบรู้มาว่า ในอดีตเงินสมทบที่ผู้ประกันตนได้จ่ายทุกเดือนนั้น มีจำนวนไม่มาก เพราะยังไม่มีการจ่ายสิทธิประโยชน์บำนาญ จึงไม่จำเป็นต้องรีบเก็บเงินจากประชาชนมากนัก เพื่อให้ประชาชนมีรายได้เหลือให้จับจ่ายใช้สอยได้มากขึ้น ซึ่งถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศไทยที่กำลังเร่งพัฒนาแข่งกับประเทศใกล้เคียง

แต่ปัจจุบันมีการจ่ายเงินบำนาญมา 2 ปีแล้ว และเริ่มจ่ายมากขึ้นอย่างก้าวกระโดด เพราะการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ การที่ต้องดูแลผู้สูงอายุในวัยเกษียณที่เพิ่มเป็นจำนวนมากทำให้จำเป็นต้องมีการสำรองเงินที่เพิ่มมากขึ้น

การเพิ่มเงินสมทบ เป็นการเพิ่มหลักประกันที่เพียงพอต่ออนาคต บางคนมองว่า “อยากอยู่สบายๆตอนแก่จึงต้องการจะจ่ายเงินสมทบเพิ่ม” และอีกหลายคนมองว่า “ลงทุนอย่างอื่นมันเสี่ยง แต่ออมกับประกันสังคมชัวร์กว่าเยอะ ได้บำนาญแน่นอน” ทั้งหมดทั้งปวงเหล่านี้เนื่องจากผลประโยชน์ที่คุ้มค่าจึงอยากใส่เงินสมทบลงไปเพิ่ม

แต่คำถามที่เจ็บจี๊ดโดนใจเลยก็คือ “ถ้าเรามีรายได้สูงขึ้น จะสามารถส่งเงินสมทบมากขึ้นได้มั้ย” ซึ่งคำตอบคือ “ไม่ได้ครับ”

ปัจจุบันการหักเงินสมทบ คิดจากเพดานฐานค่าจ้างสูงสุด ที่ 15,000 บาทเท่านั้น (หมายความว่าถ้าเงินเดือนสูงกว่านี้ ก็สามารถจ่ายเงินสมทบได้แค่เท่ากับคนที่มีเงินเดือน 15,000 บาทเท่านั้น) ซึ่งสมัยก่อนรายได้ของคนไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 6,000 บาท ต่อเดือน จะเห็นว่าค่าเงินเดือนเฉลี่ยของประเทศไทยสูงขึ้นแต่เพดานฐานค่าจ้างของประกันสังคมกลับไม่เคยเปลี่ยนแปลง โดยเพดานสูงสุดที่ 15,000 บาทนี้มีมานาน 25 ปีแล้ว และด้วยรายได้เฉลี่ยของประชากรที่สูงขึ้น ตอนนี้มีผู้ประกันตนประมาณ 30% แล้วที่เงินเดือนสูงกว่า 15,000 บาท ทำให้ผู้ประกันตนส่วนนี้เสียโอกาสในการออมเงินเพิ่ม เพราะฉะนั้นการปรับฐานเพดานค่าจ้างให้เหมาะสมจึงเป็นการหยิบยื่นโอกาสให้ผู้ประกันตนได้ใส่เงินสมทบได้มากขึ้น

ในอีกมุมหนึ่ง อัตราเงินสมทบสำหรับส่วนที่เป็นเงินออมในประเทศไทยอยู่ที่ 3% (จากเงินสมทบทั้งหมด 5%)เท่านั้น ทั้งๆ ที่ประเทศอื่นๆ มีอัตราเงินสมทบสำหรับการออมอยู่ที่ 15-20% ยิ่งเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านของเราอย่าง สิงคโปร์ ที่เก็บเงินสมทบสำหรับการออม 20% เวียดนาม 6% หรือแม้แต่ประเทศลาวเองก็เก็บถึง 4.5% เปรียบเทียบดูจะเห็นว่าของประเทศไทยต่ำกว่ามากๆ ครับ

และผมอยากตอกย้ำด้วยผลการศึกษาขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ที่ระบุว่า เพื่อให้ได้เงินบำนาญชราภาพที่เพียงพอรับกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตข้างหน้าแล้ว ประเทศนั้นๆ ควรจะต้องมีการส่งเงินสมทบไม่ต่ำกว่า 15 % ของเงินเดือน หมายความว่าหากประเทศไทยไม่ได้เปลี่ยนกฎเกณฑ์อนุญาตให้คนไทยใส่เงินสมทบเพิ่ม ก็จะทำให้เงินบำนาญที่แต่ละคนจะได้รับหลังเกษียณนั้น ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพในวันข้างหน้า

โดยในกลุ่มคนที่เข้าใจความคุ้มค่าในการออมกับสำนักงานประกันสังคม จะเรียกร้องให้ได้สิทธิ์ใส่เงินสมทบ (เงินออม) มากขึ้น เพราะอยากได้เงินบำนาญมากเพียงพอกับการใช้ในยามเกษียณ

ดังนั้น เพื่อให้คนไทยเรามีความพร้อมในการมีเงินบำนาญเพียงพอกับการใช้ชีวิตหลังเกษียณ (ผู้คนอายุยืนขึ้น จึงต้องการเงินบำนาญในปริมาณที่เพิ่มขึ้น) การปรับเพดานค่าจ้างและอัตราการเก็บเงินสมทบในประเทศจึงควรจะปรับเพิ่มขึ้นเป็นอันดับแรก เพื่อตอบสนองต่อความต้องการเพิ่มเงินออมในช่วงที่ทำงานจ่ายเงินสมทบอยู่ เพื่อให้ได้เงินบำนาญที่จะได้รับเพิ่มขึ้นตามไปด้วยครับ

ผมเชื่อว่าในระยะยาวแล้ว เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องมีการปฏิรูปกฎหมายของประกันสังคม ให้ไปในทิศทางเดียวกันกับความต้องการเงินบำนาญในทุกวันนี้ เนื่องจากอัตราค่าครองชีพนับวันเริ่มสูงขึ้น ดังนั้นค่าบำนาญต่อเดือนจึงควรจะสูงขึ้นตาม และนอกจากนั้นการที่คนเราอายุยืนขึ้นเรื่อยๆ ทำให้การจ่ายเงินบำนาญควรจะต้องจ่ายให้ยาวนานขึ้น กองทุนจึงต้องมีขนาดที่ใหญ่พอเพื่อที่จะลงทุนและสำรองให้กับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประชากรในอนาคตข้างหน้านี้ได้

หากไม่มีการปฏิรูปเกิดขึ้น ผู้ประกันตนรุ่นปัจจุบันที่ออมเงินไม่มากพอ ในอนาคตอาจต้องถูกเก็บเงินสมทบหรือต้องเก็บภาษีเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดก็เป็นได้ครับ

สรุปว่า ผ่านมา 25 ปีแล้ว รายได้เฉลี่ยประชากรของประเทศไทยสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อมีรายได้มากขึ้น การออมจึงควรเพิ่มขึ้นตาม การปรับเพดานค่าจ้างและอัตราเงินสมทบให้สูงขึ้นจึงเท่ากับว่าบำนาญของผู้ประกันตนก็จะสูงขึ้น ตามค่าครองชีพไปด้วย โดยรวมแล้วถือเป็นการสร้างรากฐานที่ดีในอนาคตของผู้ประกันตนและของประเทศชาติครับ