Outlook 2021
ภาพรวมเศรษฐกิจในปี 2021 จะอยู่ในทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังจากปี 2020 ที่ผ่านมาเศรษฐกิจทั่วโลกถูกกดดันอย่างหนักจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ความขัดแย้งทางการเมืองโลกมีแนวโน้มลดลง
สหรัฐฯ กับการจัดสรรงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ (Bloomberg as of Dec 20)
การที่คุณโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีแนวนโยบายต่างประเทศที่ประนีประนอมกว่าช่วงก่อนหน้านี้ โดยจะเน้นความร่วมมือและการค้าระหว่างประเทศ แต่อาจจะไม่ได้กลับมาประนีประนอมกับจีน แต่จะใช้ความร่วมมือกับชาติพันธมิตรเพื่อกดดันจีน
มีการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 7 แสนล้านดอลลาร์ เน้นลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และพัฒนาด้านเทคโนโลยี พลังงานสะอาด
มีโอกาสที่จะยกเลิกกฎหมายภาษีของทรัมป์ในระยะถัดไป อาทิ การขึ้นภาษีนิติบุคคลจาก 21% เป็น 28% เกณฑ์ภาษีขั้นต่ำที่ 15% กับบริษัทที่มีรายได้เกิน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภาษีบุคคลธรรมดากลับมาใช้อัตราภาษีสูงสุดที่ 10% – 39.6%
สนันสนุนการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ นำ Affordable Care Act (ACA) กลับมาใช้อีกครั้งแต่ปรับให้ครอบคลุมมากขึ้น
ควบคุมราคายาและเพิ่มการสร้างประกันสุขภาพราคาถูกให้ประชาชนที่มีรายได้น้อยโดยรัฐบาล แต่ไม่สนับสนุนการรักษาฟรี (Medicare for All)
มีความเป็นไปได้ในการกลับมาเข้าร่วมการเจรจา Trans-Pacific-Partnership (TPP) ซึ่งเป็นนโยบายที่สำคัญของโอบามา แต่จากการที่พรรคเดโมแครตไม่ได้ครองทั้ง 2 สภา (เดโมแครตครองสภาล่าง รีพับรีกันครองสภาบน) อาจผลักดันการขึ้นภาษีได้ยากรวมถึงวงเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจอาจน้อยกว่าและไม่ได้ออกมาเร็วอย่างที่คาดการณ์
ขณะที่การจำกัดการทำธุรกิจของ Giant Tech อาจทำได้ยากส่งผลให้เงินทุนในตลาดหุ้นมีโอกาสไหลออกไปยังนอกสหรัฐฯ ไม่มากนัก
สภาพคล่องทั้งฝั่งผู้กำหนดนโยบายและส่วนของผู้ลงทุนสูงเป็นผลบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ (Bloomberg as of Dec 20)
หุ้นสหรัฐ
กำไรบริษัทจดทะเบียนไตรมาสที่ 4/2020 รวมถึงคาดการณ์กำไรของปี 2021 ยังมีแนวโน้มเติบโต หุ้นสหรัฐฯ อาจทำผลงานได้น้อยกว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเนื่องจากอาจจะเห็นการ Regions Rotation ไปยังภูมิภาคที่ยัง Under Perform และอาจได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว หุ้นกลุ่ม Value มีโอกาสทำผลงานได้ดีกว่ากลุ่ม Growth แต่อย่างไรก็ตาม หุ้น Growth เป็นหุ้นที่สามารถเติบโตได้ดีจากความสามารถในการทำไรและปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง แต่อาจจะถูกขายทำกำไรออกมาเป็นช่วง ๆ ได้ จากประเด็นเรื่องการมาของ Vaccine และ Antitrust Law (กฎหมายควบคุมการผูกขาด) มองว่าโดยรวมยังน่าสนใจในการลงทุน โดยเฉพาะช่วงที่มีแรงเทขายออกมา
ประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนในดัชนี S&P500 (Bloomberg as of Dec 20)
หุ้นเอเชีย/หุ้นจีน
นโยบายต่างประเทศของไบเดนอาจกลับเข้ามาสู่ความร่วมมือ TPP และดึงดูดให้ประเทศอื่นอาจตัดสินใจเข้าร่วมการเป็นสมาชิก TPP ส่งผลให้การค้าการลงทุนเพิ่มสูงขึ้น ในแง่ปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งกว่าโดยเปรียบเทียบกับภูมิภาคอื่น ๆ นักวิเคราะห์มีการปรับประมาณการกำไรหุ้นเอเชียเพิ่มขึ้น และในด้านระดับราคาต่อมูลค่าหุ้นเอเชียและหุ้นจีนดูน่าสนใจกว่าโดยเปรียบเทียบกับหุ้นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (DM)
นโยบายของจีน มีความเป็น New Economy มากขึ้น สอดรับกับการเติบโตในอนาคตโดยมีการผลักดันในด้านนวัตกรรม รวมถึงการเติบโตของงบประมาณลงทุนด้านการวิจัยแซงหน้าสหรัฐฯ ซึ่งนอกจากจีนที่มีเทคโนโลยีล้ำหน้าหลายประเทศทั่วโลกประเทศอื่น ๆ ในเอเชียอย่าง เกาหลี อินเดียและไต้หวัน ก็มีการเร่งพัฒนาศักยภาพด้านเทคโนโลยีอย่างเข้มข้น
เป็นกลุ่มที่มองว่ามีโอกาสของการเติบโตในระยะหลังจากนี้ได้อีกมาก
กราฟแสดงความสามารถในการแข่งขันในด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม ทั้งในแง่งบประมาณด้าน R&D และความหลากหลายในด้านนวัตกรรม (Prnewswire as of Nov 20)
หุ้นยุโรป
ราคาหุ้นมีการฟื้นตัวหลังมีวัคซีน แต่ในแง่อุตสาหกรรมลงทุนเนื่องจากมีกลุ่มของธนาคารและพลังงานในสัดส่วนที่ค่อนข้างสูง แต่ข้อมูลตัวเลขเศรษฐกิจ ทั้งการว่างงาน ดัชนี PMI และการเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อ มีการประกาศล็อคดาวน์ในหลายเมือง โดยรวมยังมีความเสี่ยงและมีปัจจัยพื้นฐานที่อ่อนแอ ต้องลงทุนด้วยความระมัดระวังยามระดับราคามีปรับตัวย่อลงไป
Earning Yield Gap หรืออัตราส่วนกำไรต่อหุ้นเทียบกับราคาหุ้นลบกับผลตอบแทนสินทรัพย์ปลอดภัย (Bloomberg as of Dec 20)
กลุ่ม REITS & Property Fund
ระดับราคาต่อมูลค่าถือว่าน่าสนใจเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของตัวเองในระยะยาว โดยที่ยังมีโอกาสได้รับประโยชน์หลังจากนี้จากสภาวะ Search for Yield จากการที่ผลตอบแทนสินทรัพย์ปลอดภัยอยู่ในระดับที่ต่ำมาก ในขณะที่ Yield ของ Thai REITs อยู่ที่ 5.4% ในขณะที่ Singapore REITs อยู่ที่ 4.2% (ณ วันที่ 14 ธ.ค. 63) ซึ่งหากสถานการณ์การควบคุมการแพร่ระบาดดีขึ้น เศรษฐกิจฟื้นตัว สินทรัพย์กลุ่มนี้ยังเป็นการลงทุนที่น่าสนใจแม้อาจจะไม่ได้ได้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูงเหมือนผลตอบแทนตลอดช่วง 5 ปีที่แล้ว
ตราสารหนี้พันธบัตรรัฐบาล/Investment Grade/High Yield
จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอาจทำให้ต้องมีการออกพันธบัตรเพื่อกู้ยืมในการลงทุน และอาจทำให้ Yield พันธบัตรปรับตัวสูงขึ้น (มีแรงขายออกมา) แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ นโยบาย Buy America อาจช่วยสนับสนุนภาคธุรกิจในสหรัฐฯ และอาจส่งผลบวกตราสารหนี้ภาคเอกชนทั้งกลุ่ม IG/HY โดยเฉพาะ HY ที่ Yield ยังคงมี Space ในการปรับตัวลงต่อ (ราคาปรับขึ้น) การผ่อนคลายการดำเนินโยบายการเงินจากธนาคารกลางสหรัฐจาก Economics Cycle ที่เริ่มเห็นการ Recovery ทำให้ตราสารหนี้กลุ่ม IG-HY ดูน่าสนใจในการลงทุนมากกว่าพันธบัตรรัฐบาล แต่อย่างไรก็ยังควรมีพันธบัตรรัฐบาลอยู่ในพอร์ตเพื่อกระจายการลงทุนแต่อาจลดสัดส่วนลง
Yield Spread หรืออัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ที่ได้รับลบกับผลตอบแทนสินทรัพย์ปลอดภัย (Bloomberg as of Nov 20)
ทองคำ
เงินเฟ้อเริ่มปรับลดลงน้อยกว่าคาดการณ์ จากการที่วงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจที่อาจออกมาน้อยกว่าที่คาดไว้
ส่งผลให้ Real Yield เริ่มปรับสูงขึ้นและอาจกดดันราคาทองคำในระยะข้างหน้า ด้าน Fund Flow ใน Gold ETF ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง SPDR และ iShares เริ่มเห็นแรงเทขายออกมา
น้ำมัน
Upside ยังอยู่ในระดับที่จำกัด ประกอบกับข่าวเรื่องวัคซีน ทำให้ราคาพลังงานปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างสูงในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ ที่ออกมาน้อยกว่าที่คาด อย่างไรก็ตามในส่วนของนโยบายไบเดนที่สนับสนุนพลังงานสะอาดจะกดดันราคาพลังงานในรูปแบบดั้งเดิม รวมถึงความต้องการใช้น้ำมันยังไม่ส่งสัญญาณฟื้นตัว และล่าสุดกลุ่ม ผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่มีความขัดแย้งกันเองภายใน อาจจะทำให้สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มีโอกาสที่จะไม่ทำตามโควตากำลังการผลิต และส่งผลต่อปริมาณน้ำมันในตลาด ทำให้ราคาพลังงานยังคงมีความเสี่ยง
Benefit Theme : สรุปคำแนะนำลงทุนในสินทรัพย์แต่ละประเภท
US ยังคงเติบโตควบคู่ไปกับฝั่งเอเชีย เนื่องจากเงินทุนอาจไม่ได้ไหลออกจากสหรัฐฯ มาก แต่อาจเติบโตน้อยกว่าช่วงที่ผ่านมาเนื่องจากมีการ Reallocate ไปยังกลุ่มประเทศอื่น
China & Asian EQ จะยังคงเติบโตต่อจากนโยบายความร่วมมือทางการค้า และความคืบหน้าเรื่องวัคซีน ทำให้การลงทุนรวมถึง TPP ที่อาจทำให้มีเงินลงทุนไหลมายังเอเชีย
Tech Theme
Global/U.S. Tech ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อทั้งในเรื่องของ Mega Trend รวมถึงการจำกัดเรื่องการทำธุรกิจอาจทำได้ยาก
China/Asian Tech มีแนวโน้มที่เติบโต และน่าสนใจมากขึ้นโดยเฉพาะ China Tech ที่ได้รับการสนับสนุนจากทั้งรัฐและเอกชน
Green Energy & Infrastructure เป็นนโยบายที่เด่นของโจไบเดน รวมถึงธีมที่กำลังเป็นที่น่าสนใจใน DM และChina
Thai REITs / SG REITs เริ่มน่าสนใจทั้งในด้าน Valuation / Outlook จากการที่หลายบริษัทมีการกระจาย Global Supply Chain ทำให้ Industrial REITs ไทย/สิงคโปร์ได้ประโยชน์ และ Office Base จาก HK มายัง SG
Fixed Income
IG ยังคงความน่าสนใจแต่อาจให้ผลตอบแทนที่ลดลงจาก Spread ที่แคบมากขึ้น
U.S. HY เริ่มน่าสนใจมากขึ้นทั้ง Valuation ที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยไม่มากนักและปัจจัยด้านการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
Asian Bond จากการที่ FTSE มีการเพิ่มน้ำหนักในตราสารหนี้จีนทำให้คาดว่า Fund Flow มีโอกาสไหลเข้ากว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ และเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวทำให้ Asian Corp Bond มีความน่าสนใจลงทุน
ความเสี่ยงที่ต้องจับตาในปี 2021
1. ความเสี่ยงจากระดับราคาต่อมูลค่าของสินทรัพย์ลงทุนที่ค่อนข้างสูง ความเสี่ยงหรือความอ่อนไหวจากข่าวเชิงลบกดดันให้ผลตอบแทนมีปรับตัวลงระหว่างทางได้
2. ความเสี่ยงจากผู้กำหนดนโยบาย จากทั้งด้านในเรื่องของการออกกฎหมายที่อาจกฎดันการลงทุน เช่น การขี้นภาษี การออกกฎหมายการผูกขาด รวมไปถึงความเสี่ยงจากด้านงบประมาณการคลังที่อาจมีการใช้งบประมาณได้ยากหรือได้วงเงินที่น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า
3. ความเสี่ยงทางด้านการเมืองและภูมิรัฐศาตร์ ที่อาจทำให้การขัดแย้งระหว่างประเทศซึ่งส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุน รวมถึงการเข้าร่วมความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่คาดหวังกันเอาไว้อาจล่าช้าหรือไม่เกิดขึ้น เช่น สหรัฐฯ ที่คาดการณ์ก้นว่าจะเข้าร่วม CPTPP
4. ความเสี่ยงด้านโรคโควิด-19 และการแจกจ่ายวัคซีนให้ครอบคลุมประชากรโลกหากล่าช้าอาจทำให้เศรษฐกิจโตน้อยกว่าที่ประเมินไว้ รวมไปถึงอาการข้างเคียงที่เกิดจากการฉีดวัคซีนมีผลต่อเซ็นติเมนต์เชิงลบได้
บลจ. ทหารไทย
สำหรับลูกค้าที่ลงทุนใน Quality Mega Theme สามารถดูพอร์ตการลงทุนได้ตามช่องทางนี้
ผ่านมือถือ/Tablet >> แอปฯ FINNOMENA
ผ่านคอมพิวเตอร์ >> เว็บไซต์ FINNOMENA
สำหรับลูกค้าที่สนใจลงทุนใน Quality Mega Theme คลิกที่นี่เพื่อสร้างแผนการลงทุน
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทหารไทย จำกัด หรือ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”