ผ่านการลงทุนช่วงโค้งสุดท้ายของเดือนมี.ค.แล้ว นักลงทุนหลายคนอาจเริ่มกลับมาทบทวนอีกครั้งว่า ควรจะวางแผนการลงทุนในหุ้นแบบใดจึงจะสอดรับกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในไตรมาส 2/2561 หุ้นขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ ที่น่าจะตอบโจทย์การลงทุนได้ และควรจัดพอร์ตอย่างไรจึงจะเหมาะสม ประเด็นคำถามเหล่านี้จึงเป็นเรื่องที่ต้องตีแตก และวิเคราะห์อย่างละเอียด
ในมุมมองของบริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ประเมินว่า ภาพรวมการลงทุนช่วงไตรมาส 1/2561 มีหลายประเด็นที่ส่งผลต่อทิศทางการซื้อขายหุ้น โดย “ปัจจัยภายนอก” ได้แก่ เรื่องแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ซึ่งมีผลต่อการปรับตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield), ทิศทางราคาน้ำมัน และนโยบายการค้าของสหรัฐฯ นับเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการลงทุนอย่างยิ่ง
ขณะที่ “ปัจจัยภายในประเทศ” ได้แก่ การประกาศผลประกอบการไตรมาส 4/2560 ที่ออกมาต่ำกว่าคาด การประกาศแตกพาร์ของ PTT รวมทั้งการปรับโครงสร้างบริษัทในกลุ่ม เช่น การเข้าถือหุ้น IRPC เพิ่ม และการวางแผนนำหุ้น PTTOR เข้าจดทะเบียนในตลาดปีหน้านั้น ก็เป็นเรื่องที่นักลงทุนส่วนใหญ่จับตาอย่างมาก
อย่างไรก็ตามภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว หากวิเคราะห์หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ โดยแบ่งเป็น หุ้นขนาดใหญ่ และ หุ้นขนาดเล็กจะพบได้ว่า นับตั้งแต่ต้นปี 2561จนถึงปัจจุบัน (ข้อมูลถึงวันที่ 14 มี.ค.) SET50 Index ซึ่งเป็นตัวแทนหุ้นขนาดใหญ่50บริษัทแรก ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง +3.4% ขณะที่ sSET Index ซึ่งเป็นตัวแทนหุ้นขนาดเล็ก ปรับตัวลดลง -5.2% ขณะที่อัตราการจ่ายเงินปันผล SET50 Index อยู่ที่ 2.7% และ sSET Index อยู่ที่ 3.1%
จับหุ้นใหญ่ปะทะหุ้นไซซ์กลาง-เล็กไตรมาส 2
ในช่วงที่ผ่านมาหุ้นขนาดใหญ่ ยังคงได้รับปัจจัยบวกจากเม็ดเงินของนักลงทุนสถาบันในประเทศ จึงน่าจะมีโอกาสให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับหุ้นขนาดกลาง-เล็ก นอกจากนี้ประเมินว่าหากกระแสเงินทุนต่างชาติพลิกกลับมาเป็นบวก จากการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศที่แข็งแกร่ง และแนวโน้มการเลือกตั้งชัดเจนขึ้นในช่วงไตรมาส 2/2561 คาดว่าหุ้นขนาดใหญ่จะได้รับอานิสงส์ก่อนหุ้นขนาดกลาง-เล็ก เพราะหุ้นขนาดใหญ่ จะมีสภาพคล่องในการซื้อขายมากพอที่จะรองรับเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้า โดยกลุ่มที่น่าสนใจ คือ กลุ่มที่อิงเศรษฐกิจภายในประเทศ อาทิ กลุ่มธนาคาร (หุ้นเด่น — BBL, KBANK), กลุ่มค้าปลีก (BEAUTY, COM7), กลุ่มวัสดุก่อสร้างและรับเหมา (SCC, CK, STEC) และกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (LH)
จับตาปัจจัยเด่นไตรมาส 2/2561
ช่วงไตรมาสที่ 2/2561 ปัจจัยต่างประเทศที่นักลงทุนควรติดตามอย่างใกล้ชิด คือ การขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ, นโยบายการค้าของสหรัฐฯ, การส่งสัญญาณการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินของแต่ละธนาคารกลางสำคัญอื่นๆ (BOJ, ECB, BOE) และความผันผวนของราคาน้ำมัน
ส่วนปัจจัยในประเทศ คือ กรอบเวลาการเลือกตั้งของไทย, การประกาศผลประกอบการไตรมาส 1/2561 ในช่วงกลางเดือน เม.ย. — กลางเดือน พ.ค. ซึ่งแม้คาดว่าจะดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) แต่ยังลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) จึงอาจกดดันให้ราคาหุ้นผันผวนง่าย โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่ มูลค่าหุ้นไทยมีราคาสูงกว่าเมื่อเทียบกับในช่วงก่อนหน้านี้
จัดน้ำหนักลงทุนหุ้นไซซ์ใหญ่และกลาง-เล็ก
หากอิงมูลค่าตลาดรวมของหุ้นใน SET50 Index ในปัจจุบัน (14 มี.ค.) จะคิดเป็นสัดส่วนราว 67% ของมูลค่าตลาดรวมทั้งหมด ดังนั้นจากมุมมองที่ว่าหุ้นขนาดใหญ่มีแนวโน้มจะให้ผลตอบแทนดีกว่าหุ้นขนาดกลาง-เล็กต่อไป ประกอบกับตลาดเผชิญปัจจัยเสี่ยงมากขึ้นในช่วงไตรมาส 2 หุ้นขนาดใหญ่น่าจะทนทานต่อปัจจัยเสี่ยงได้ดีกว่าหุ้นขนาดกลาง-เล็ก
จึงแนะนำ “เพิ่มน้ำหนัก” หุ้นขนาดใหญ่ในระดับ 70% ขึ้นไป และแนะนำ “ลดน้ำหนัก” หุ้นขนาดกลาง-เล็กต่ำกว่ามาตรฐาน หรือน้อยกว่า 30% อย่างไรก็ดี การพิจารณาน้ำหนักข้างต้น เป็นเพียงการจัดสรรน้ำหนักการลงทุนโดยอิงตามมูลค่าตลาดเป็นสำคัญ แต่ยังต้องพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ ด้วยในการกำหนดสัดส่วนการลงทุน เช่น กลุ่มอุตสาหกรรม, upside ของหุ้น และแนวโน้มการเติบโตของผลประกอบการในอนาคตด้วย
สังเวียนการลงทุนไตรมาส2/2561 ใกล้เข้ามาเต็มที ถึงเวลาวางหมากเดินเกมลงทุนรอบใหม่แล้ว
โดย TISCO Wealth Advisory
ที่มาบทความ : https://www.facebook.com/tiscomastery/