ถ้าเล่าแบบย่อๆ หลายคนอาจจะพอรู้แล้วว่า สงครามทางการค้า (Trade War) เป็นประเด็นหลักที่ทำให้เศรษฐกิจของหลายๆ ประเทศได้รับผลกระทบ และแม้ข่าวล่าสุด ทางสหรัฐฯ จะออกมาประกาศรายละเอียดข้อตกลงการค้า ‘Phase One’ เพิ่มเติม โดยระบุว่าสหรัฐฯ จะลดอัตราภาษีลงเป็น 7.5% จากปัจจุบันที่ 15% กับสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า US$112bn …แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า ประเด็นนี้ จะส่งสัญญานอย่างชัดเจนว่าเศรษฐกิจโลกจะปรับตัวขึ้นได้อย่างโดดเด่น
นั่นก็เป็นเพราะ ในช่วงปลายไตรมาส 1/2020 ความเสี่ยงจะกลับมาเพิ่มขึ้น จากประเด็นการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยตั้งแต่เดือน มี.ค. เราจะเริ่มเห็นแล้วว่า ใครจะมาเป็นตัวแทนพรรค Democrat ไปแข่งกับ “นายโดนัลด์ ทรัมป์” ในการเลือกตั้งปธน. ในวันที่ 3 พ.ย. 2020
ซึ่งผู้ท้าชิงจากพรรค Democrat ส่วนใหญ่มีนโยบายที่กดดันตลาดหุ้น เช่น การเพิ่มภาษีนิติบุคคล เพิ่มภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้มีรายได้สูง และเพิ่มภาษีจากรายได้จากการลงทุน (Capital gain tax) ทำให้ตลาดหุ้นอาจจะเริ่มปรับตัวลงในช่วงนั้น และราคาทองคำน่าจะกลับมาเพิ่มขึ้น ดังนั้นนี่จึงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามต่อไป
สำหรับประเทศไทย ก็ยังคงมีอาการเศรษฐกิจชะลอตัว โดยจะเห็นได้จากรายงานข้อมูลตัวเลขเศรษฐกิจของธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) เดือน ต.ค. ที่ระบุว่า “การท่องเที่ยว” เป็นสิ่งเดียวที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งจะเห็นได้จาก ตัวเลขนักท่องเที่ยว ที่เพิ่มขึ้น 12.5% ขณะที่ตัวเลขอื่นๆ ส่วนใหญ่ติดลบ หรือเป็นบวกเล็กน้อยเท่านั้น
ดังนั้นสรุปได้ว่า → เศรษฐกิจโลก และ เศรษฐกิจไทย ยังอยู่ในภาวะชะลอตัวจริง
ผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
ดังนั้น ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวแบบนี้ “ธุรกิจการแพทย์” หรือ Health Care ก็ถือว่าน่าสนใจอย่างมาก เพราะมีปัจจัยบวก ทั้งในเรื่อง
- ความสามารถในการเติบโต : ไม่ว่าจะอยู่ในภาวะเศรษฐกิจแบบใดก็ตาม จะเห็นได้ว่าธุรกิจ Health Care เติบโตได้อย่างสม่ำเสมอ
- ราคาไม่แพง : หากวิเคราะห์จากกราฟ (ตามภาพ) จะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า มูลค่าพื้นฐาน (Valuations) ของธุรกิจ Health Care ในสหรัฐฯ ยังค่อนข้างต่ำกว่าตลาด ซึ่งนั่นสรุปได้ว่า ราคาหุ้นในกลุ่มนี้ ยังไม่แพงเมื่อเทียบกับหุ้นสหรัฐฯ โดยรวม
กองทุนรวมที่เน้นการลงทุนแบบมีหุ้นน้อยตัว (High conviction) แต่มีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนได้ดี ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว นั่นก็เป็นเพราะการบริหารพอร์ตในเชิงรุก (Active Fund) แบบนี้ จะช่วยให้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้ทันต่อสถานการณ์ได้ดีขึ้น
ดังนั้นกองทุนรวมหุ้นไทยที่จัดพอร์ตแบบ High conviction โดยมีหุ้น 10-15 บริษัท ก็เหมาะกับภาวะเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวในช่วงนี้อย่างมาก
ถ้าคุณสนใจที่จะลงทุนเพื่อเอาชนะภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ตามที่ TISCO Wealth Advisory แนะนำ ควรวางกลยุทธ์ดังนี้
สำหรับการลงทุนระยะสั้น : ระยะเวลา 3-6 เดือน แนะนำนักลงทุนเลือก กองทุนรวมหุ้นไทยที่จัดพอร์ตแบบ High conviction เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดโดยรวมในยามที่เศรษฐกิจชะลอตัว
สำหรับการลงทุนระยะยาว : ระยะเวลาตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป แนะนำกองทุนรวม Health Care เพราะจะช่วยสร้างผลตอบแทนได้อย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งธุรกิจประเภทนี้ กำไรโดยรวมมักไม่ค่อยปรับตัวลดลง แม้จะอยู่ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวก็ตาม
TISCO Advisory
ที่มาบทความ: https://www.facebook.com/tiscoadvisory/
คำเตือน
ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต