ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ประเมินยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าปีนี้ทั้งหมด 2,500 คัน โตกว่า 200% ขณะที่ปีหน้าคาดยอดขายโตต่อเนื่องเป็น 24,000 คัน คาดยังไม่กระทบยอดขายรถยนต์สันดาปภายในมากนัก
วันนี้ (21 พ.ย.) ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ของธนาคารกรุงไทย วิเคราะห์ว่า ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า 100% หรือ BEV มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยกระแสรถยนต์ไฟฟ้าเป็นที่จับตามองอีกครั้ง หลังปรากฏการณ์คนเข้าคิวจองรถยาวข้ามคืน
Krungthai COMPASS คาดการณ์ว่า รถยนต์ BEV ในปี 2565 จะมียอดขายอยู่ที่ 12,500 คัน ขยายตัวจากยอดจดทะเบียนรถยนต์ BEV ในปี 2564 ถึง 212.5% และปี 2566 จะมียอดขาย 24,000 คัน หรือขยายตัว 92.0% ไปในทิศทางเดียวกับคาดการณ์ของ Bloomberg ที่ประเมินยอดขายรถยนต์ BEV ของไทยในปี 2565-2566 ที่ 15,600 คัน และ 24,000 คัน โดยในปี 2565 ที่ทาง Krungthai COMPASS ประเมินต่ำกว่า Bloomberg ส่วนหนึ่งมาจากปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนที่ทำให้การส่งมอบรถอาจล่าช้าออกไป
สำหรับ 3 ปัจจัยหลักที่สนับสนุนรถยนต์ BEV ได้แก่
1.การสนับสนุนจากภาครัฐที่ทำให้ราคาที่ผู้บริโภคเข้าถึงได้มากขึ้น รวมทั้งจูงใจผู้ประกอบการให้เข้ามาลงทุนทำให้ทางเลือกในตลาดเพิ่มขึ้น
2.การพัฒนาอย่างต่อเนื่องของเทคโนโลยี ทำให้รถยนต์ BEV มันใช้งานได้จริง
3.ต้นทุนการใช้งานที่มีความคุ้มค่ากว่ารถยนต์สันดาปภายในถึงเกือบ 20%
อย่างไรก็ดี ยังมีหลายคำถามที่ยังเป็นข้อสงสัย และอาจกดดันการเติบโตของรถยนต์ BEV ทั้งราคาขายต่อที่มีความไม่แน่นอนสูง และราคาแบตเตอรี่ที่ยังมีราคาแพง เป็นต้น
ทั้งนี้ Krungthai COMPASS ประเมินว่าในช่วงปี 2565-2566 รถยนต์สันดาปภายในจะยังครองตลาดในประเทศ รวมทั้งตลาดโลก ทำให้ตลาดชิ้นส่วนรถยนต์โดยรวมจะยังไม่ได้รับผลกระทบมากนักในระยะสั้น แม้รถยนต์ BEV ในตลาดโลกจะเติบโตสูงจากแนวนโยบายของประเทศเศรษฐกิจหลักที่สนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งตลาดในประเทศที่ได้รับแรงกระตุ้นจากนโยบายของภาครัฐที่มีความชัดเจนขึ้น
อย่างไรก็ดี จากการประเมินของ Bloomberg New Energy Finance (BNEF) กว่าที่รถยนต์ BEV จะมีสัดส่วนในตลาดโลกมากกว่า 40% ของรถยนต์เชื้อเพลิงทุกประเภทอาจต้องใช้เวลาจนถึงปี 2583 เช่นเดียวกันกับตลาดในประเทศที่ถึงแม้รถยนต์ BEV จะเติบโตได้ดี แต่ยอดขายในปี 2565-2566 ก็ยังคิดเป็นสัดส่วนเพียง 1.3% และ 2.4% ของยอดขายรถยนต์ทุกประเภทเท่านั้น
มองไปข้างหน้า ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศส่วนใหญ่คาดว่าจะยังคงเป็นรถยนต์ไฮบริด (Hybrid Electric Vehicle หรือ HEV) และรถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริด (Plug-in Hybrid Electric Vehicle หรือ PHEV) ซึ่งก็จะยังต้องใช้ชิ้นส่วนระบบขับเคลื่อนเครื่องยนต์แบบสันดาปภายในควบคู่กับระบบไฟฟ้า
แต่กระนั้น ในอนาคตจะมีชิ้นส่วนบางประเภท โดยเฉพาะชิ้นส่วนที่เกี่ยวกับระบบส่งกำลัง ซึ่งได้แก่ ระบบระบายความร้อน ระบบเครื่องยนต์ ระบบควบคุมไอเสีย และระบบเชื้อเพลิง ที่จะได้รับผลกระทบ
อ้างอิง: https://www.prachachat.net/finance/news-1127494
——————-
👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน
- Facebook: https://finno.me/the-opp-fb
- Youtube: https://finno.me/youtube-channel