ปธน.โจ ไบเดน เลือก ‘เจอโรม พาวเวลล์’ เป็นประธาน Fed สมัยที่ 2 และแต่งตั้ง ‘เลอัล แบร์นาร์ด’ เป็นรองประธาน ขณะที่ Fed กำลังเผชิญความท้าทายจากอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งแรงที่สุดในรอบ 3 ทศวรรษ จากผลกระทบของโควิด-19
ทำเนียบขาวประกาศการตัดสินใจของปธน.สหรัฐฯ เมื่อคืนนี้ (22 พ.ย.) ซึ่งเป็นการให้รางวัลแก่เจอโรม พาวเวลล์ หลังกอบกู้เศรษฐกิจสหรัฐฯ จากโควิด-19 และมอบหมายหน้าที่ให้ปกป้องการฟื้นตัวเศรษฐกิจจากเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น โดยคาดว่าเจอโรม พาวเวลล์ จะได้รับการอนุมัติอย่างราบรื่นในวุฒิสภา แต่การตัดสินใจดังกล่าวอาจทำให้สมาชิกพรรคเดโมแครตหัวก้าวหน้ารู้สึกผิดหวัง
ขณะที่ เลอัล แบร์นาร์ด จะมาดำรงตำแหน่งรองประธาน Fed แทน ริชาร์ด คลาริดา และอาจต้องเผชิญเสียงคัดค้านจากวุฒิสภารีพับลิกัน เนื่องจากจุดยืนที่เข้มงวดเกี่ยวกับกฎระเบียบของธนาคาร
ทำเนียบขาวกล่าวว่า ปธน.โจ ไบเดน มีแผนที่จะประกาศอย่างเป็นทางการ พร้อมกับเสนอชื่อเพิ่มเติมในตำแหน่งที่ว่างอยู่ของสมาชิกสภาผู้ว่าการของ Fed ในช่วงต้นเดือน ธ.ค.
Diane Swonk หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Grant Thornton LLP กล่าวว่า นี่เป็นความแน่นอนในโลกที่ไม่แน่นอน โดยทั้งพาวเวลล์ และแบร์นาร์ด จะเป็นคู่หูที่ทรงพลัง ที่จะเปลี่ยนให้ Fed เห็นความสำคัญของความไม่เท่าเทียมกัน และเงินเฟ้อมากขึ้น
หุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นรับข่าวดังกล่าว ขณะที่ เกิดแรงเทขายในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ โดยจากราคาในตลาดฟิวเจอร์สอัตราดอกเบี้ย นักลงทุนคาดว่า Fed จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือน มิ.ย. ของปีหน้า
เจอโรม พาวเวลล์ สมาชิกพรรครีพับลิกัน วัย 68 ปี ได้รับเสียงสนับสนุนจากทั้ง 2 พรรคมาโดยตลอด รวมถึงการสนับสนุนจากรมว.คลัง เจเน็ต เยลเลน อย่างไรก็ตาม สมาชิกพรรคเดโมแครตหัวก้าวหน้า เช่น วุฒิสภา Elizabeth Warren จากรัฐแมสซาชูเซตส์ ต้องการให้ปธน.โจ ไบเดน เลือกประธาน Fed ที่สอดคล้องกับนโยบายของพรรคเดโมแครตมากขึ้น ทั้งในด้านการกำกับดูแลธนาคาร และการจัดการปัญหาสภาพภูมิอากาศ
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้กล่าวว่า เมื่อไม่นานมานี้ ปธน.โจ ไบเดน ได้พูดคุยกับ Elizabeth Warren และรับฟังความเห็นเพื่อประกอบการตัดสินใจ รวมถึงยังได้หารืออย่างใกล้ชิดกับ Sherrod Brown ประธานวุฒิสภาสหรัฐฯ ด้านการธนาคาร ที่สนับสนุนให้พาวเวลล์เป็นประธาน Fed สมัยที่ 2
Anna Wong นักเศรษฐศาสตร์ของ Bloomberg กล่าวว่า การแต่งตั้งพาวเวลล์เป็นประธาน Fed อีกสมัย หมายถึงความต่อเนื่องของนโยบาย พาวเวลล์จะนำ Fed และตลาดกลับสู่นโยบายแบบปกติในอีก 4 ปีข้างหน้า ซึ่งด้วยอัตราเงินเฟ้อที่ร้อนแรง และสัญญาณการฟื้นตัวของตลาดที่เร่งขึ้น คาดว่าเรามีโอกาสได้เห็นการ QE Taper ด้วยอัตราเร่งที่เพิ่มขึ้นในการประชุม Fed เดือน ธ.ค.
ปธน.ไบเดน กล่าวในแถลงการณ์ว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นเหมือนบทพิสูจน์ของวาระทางเศรษฐกิจ และหวังว่า Fed ที่นำโดยพาวเวลล์ และแบร์นาร์ด จะช่วยนำทางสหรัฐฯ ผ่านการตกต่ำครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ เพื่อไปสู่เส้นทางแห่งการฟื้นตัว
โดย ปธน.ไบเดน เชื่อมั่นว่า พาวเวลล์ และแบร์นาร์ด จะให้ความสำคัญกับการรักษาอัตราเงินเฟ้อในระดับต่ำ การมีเสถียรภาพของราคา และการจ้างงานในระดับเต็มที่ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ แข็งแกร่งกว่าที่เป็นมา
อย่างไรก็ตาม วาระสมัยที่ 2 ของเจอโรม พาวเวลล์ จะแตกต่างจากสมัยแรกอย่างมาก เพราะตอนนี้ Fed ต้องเผชิญกับทั้งเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวในเวลาที่อัตราเงินเฟ้อดีดตัวขึ้นอย่างร้อนแรง จำนวนผู้ติดเชื้อที่ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงปัญหาห่วงโซ่อุปทานที่ทำให้เกิดความไม่แน่นอนครั้งใหญ่
ปัญหาต่างๆ เป็นความท้าทายต่อการปรับกลยุทธ์ของ Fed ที่ต้องการปล่อยให้เศรษฐกิจดำเนินไปเร็วกว่าที่เป็น ด้วยความหวังว่ามันจะช่วยเพิ่มการจ้างงาน และอัตราค่าจ้าง อย่างไรก็ตาม การพุ่งขึ้นของอัตราเงินเฟ้อนำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์การดำเนินนโยบายของ Fed
เจ้าหน้าที่ Fed ส่วนหนึ่งมองว่า Fed ควรถอนโครงการ QE ให้เร็วกว่าที่วางแผนไว้ นอกจากนี้ เจอโรม พาวเวลล์ อาจต้องเผชิญแรงกดดันจากเจ้าหน้าที่ Fed ส่วนหนึ่งที่ต้องการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าเดิม
——————-
- Facebook: https://finno.me/the-opp-fb
- Youtube: https://finno.me/youtube-channel