สถาบันการเงินชื่อดังทั้ง HSBC และ BlackRock เตือนนักลงทุนเลี่ยงหุ้นยุโรป จากความเสี่ยงวิกฤติพลังงาน สงครามในยูเครน และการหยุดชะงักด้านอุปทาน
🇪🇺HSBC เตือนการลงทุนหุ้นคุณค่าในยุโรปไม่คุ้มที่จะเสี่ยง
HSBC เตือนนักลงทุนให้หลีกเลี่ยงการลงทุนหุ้นคุณค่าในยุโรป เพราะวิกฤติพลังงานทำให้ไม่คุ้มความเสี่ยงที่จะลงทุนในภูมิภาคดังกล่าว
โดยส่วนใหญ่แล้ว นักลงทุนที่เลือกลงทุนในหุ้นยุโรปนั้นต้องการมองหาหุ้นคุณค่า (Value Stock) หรือหุ้นที่มีราคาถูกเมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐาน เพื่อต่อสู้กับความผันผวนโดยการลงทุนในหุ้นที่ให้ผลตอบแทนในระยะยาวที่มั่นคงกว่า
นั่นต่างจากการลงทุนในสหรัฐฯ ที่หุ้นส่วนใหญ่มันเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียง เติบโตอย่างก้าวกระโดด (Growth Stock) ที่มักถูกคาดการณ์ว่ากำไรจะเติบโตได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม
แต่ ‘Willem Sels’ CIO ของ HSBC มองว่า แม้หุ้นยุโรปจะถูกเมื่อเทียบกับหุ้นสหรัฐฯ แต่ P/E หรือราคาหุ้นที่ถูกนั้นไม่สามารถชดเชยความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องเจอได้
แนวโน้มเศรษฐกิจมหภาคในยุโรปมืดมนจากการหยุดชะงักด้านอุปทาน ขณะที่สงครามระหว่างยูเครนและรัสเซียที่ส่งผลกระทบต่อราคาอาหารและพลังงานได้กดดันการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และทำให้ธนาคารกลางต้องลดดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ
HSBC ระบุว่า สิ่งที่ต้องเน้นย้ำคือ ‘คุณภาพ’ ไม่ใช่ ‘สไตล์การลงทุน’ โดยแนะนำให้พิจารณาจากความแตกต่างของคุณภาพหุ้นระหว่างหุ้นสหรัฐฯ และหุ้นยุโรป มากกว่าจะไปสนใจว่ามันเป็นหุ้นเติบโตหรือหุ้นคุณค่า
โดย HSBC ไม่แนะนำให้นักลงทุนกระจายความเสี่ยงโดยแบ่งตามภูมิภาค แต่ควรดูแนวโน้มของเศรษฐกิจและกำไรในอนาคตมากกว่า รวมถึงไม่แนะนำให้ซื้อหุ้นยุโรปหากเหตุผลคือแค่มูลค่าที่ถูกและการเคลื่อนไหวของอัตราดอกเบี้ย
🇪🇺BlackRock แนะเลี่ยงหุ้นผันผวนต่ำ ที่ไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงราคาพลังงาน
‘Nigel Bolton’ Co-CIO ของ BlackRock แนะนำให้พิจารณาผลกระทบของการขาดแคลนพลังงานที่จะเกิดขึ้นกับบริษัทต่างๆ โดยวิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับบริษัทที่มีค่าใช้จ่ายด้านพลังงานสูง และไม่ใช่พลังงานหมุนเวียนคือ ให้คำนวณค่าใช้จ่ายดังกล่าวเป็นสัดส่วนของรายได้
โดยหลายบริษัทขนาดใหญ่ไม่ได้รับผลกระทบจากราคาพลังงานที่สูงขึ้น เพราะได้ป้องกันความเสี่ยงไว้ก่อนแล้วและสามารถซื้อได้ถูกกว่าราคา spot แต่บริษัทเล็กๆ ที่ไม่ได้ทำการป้องกันความเสี่ยงอาจต้องเผชิญช่วงเวลาที่ยากลำบาก
หุ้นที่ BlackRock แนะนำให้ระมัดระวังเป็นพิเศษคือ หุ้นผันผวนต่ำ (Defensive Stock) ที่สามารถทำรายได้ได้แม้เศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบ เพราะบริษัทเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงในราคาพลังงาน
ขณะที่ Blackrock มองเห็นโอกาสในบริษัทที่ใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติทำงานเพราะสามารถลดต้นทุนแรงงานได้ รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้าและการเปลี่ยนผ่านมาสู่พลังงานหมุนเวียน นอกจากนี้ยังมองว่าความต้องการในเซมิคอนดักเตอร์และวัตถุดิบอย่างทองแดง จะพุ่งสูงขึ้นตามกระแสรถยนต์ไฟฟ้าที่บูม
อ้างอิง:
——————-
👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน
- Facebook: https://finno.me/the-opp-fb
- Youtube: https://finno.me/youtube-channel