ปธน.สี จิ้นผิง ส่งสัญญาณผ่อนนโยบายโควิดเป็นศูนย์ หลังเศรษฐกิจจีนได้รับผลกระทบหนัก
ช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้ว สี จิ้นผิง ให้คำมั่นว่า “จะพยายามป้องกันและควบคุมโควิดให้ได้มากที่สุด ภายใต้ค่าใช้จ่ายและผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างน้อยที่สุด”
ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีน เน้นย้ำถึงการลดผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากนโยบายควบคุมโควิด นับตั้งแต่มีการระบาดเกิดขึ้นครั้งแรกในอู่ฮั่นเมื่อปี 2020
ในช่วงปี 2020 หลายประเทศทั่วโลกปรับตัวใช้ชีวิตกับโควิดจนทำให้มีผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจำนวนมาก แต่ในตอนนั้นจีนเลือกใช้วิธีล็อกดาวน์เป็นวงกว้าง โดยสี จิ้นผิง ยกย่องว่าเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการจัดการกับไวรัส
แต่ตอนนี้หลายอย่างกำลังเปลี่ยนไป จีนกำลังเผชิญกับยอดผู้ติดเชื้อโควิดที่สูงสุดในรอบกว่า 2 ปี และมาตรการคุมโควิดอันเข้มงวดยังมาพร้อมกับราคาที่ต้องจ่ายอย่างผลกระทบทางศรษฐกิจ
ตอนนี้โอมิครอนกำลังสร้างปัญหาให้กับรัฐบาลจีน เพราะจีนกำลังต่อสู้กับการแพร่ระบาดครั้งเลวร้ายที่สุด โดยมีชาวจีนหลายสิบล้านคนซึ่งรวมถึงชาวเมืองที่อาศัยอยู่ในศูนย์กลางเทคโนโลยีทางใต้ของเซินเจิ้นกำลังถูกล็อกดาวน์
ดูเหมือนว่ารัฐบาลจีนจะไม่สามารถใช้นโยบายเดิมที่เคยควบคุมเดลต้ากับโอมิครอนได้แล้ว
รัฐบาลจีนให้คำมั่นว่าจะรักษาเสถียรภาพของตลาดการเงินและกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยย้ำว่าการควบคุมไวรัสต้องควบคู่ไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจ
ก่อนหน้านี้ ทางการจีนรับผู้ป่วยทุกรายเข้าในระบบโรงพยาบาลไม่ว่าจะไม่มีอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อยก็ตาม
แต่ล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีนเตรียมเปลี่ยนกฏเกณฑ์ โดยผู้ป่วยที่ไม่ได้มีอาการรุนแรงจะไม่จำเป็นต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล และเตรียมปรับลดเกณฑ์สำหรับผู้ที่ต้องกักตัวด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม จีนจะยังไม่เลิกมาตรการโควิดเป็นศูนย์อย่างน้อยก็ภายในปี 2023 ซึ่งเป็นปีที่มีความสำคัญทางการเมืองของปธน.สีจิ้นผิง โดยผู้ที่เดินทางเข้ามายังจีนทุกคนจะต้องกักตัว และหากติดเชื้อโควิดจะถูกแยกออกโดยไม่คำนึงถึงความรุนแรงของอาการ
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของสี จิ้นผิง และรัฐบาลจีนชี้ให้เห็นว่า จีนต้องการกำจัดไวรัสในตอนนี้ก่อน และค่อยปรับกลยุทธ์ในการควบคุมในอนาคต
อ้างอิง:
https://www.bbc.com/news/world-asia-china-60762032
——————-
- Facebook: https://finno.me/the-opp-fb
- Youtube: https://finno.me/youtube-channel
ผู้เขียน
