ราคาน้ำมันแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 7 ปี จากความกังวลว่าการโจมตีคลังน้ำมันและสนามบินในยูเออีโดยกลุ่มกบฏฮูตีในเยเมนอาจรุนแรงขึ้นและส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมัน
วันนี้ (19 ม.ค.) ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับขึ้นมาอีก 0.6% สู่ระดับ $89 ต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI พุ่งขึ้น 1.86% ที่ราคา $86.3 ต่อบาร์เรล
วันจันทร์ที่ผ่านมา (17 ม.ค.) กบฏฮูตีในเยเมนได้ใช้โดรนโจมตีโรงกลั่นน้ำมันในกรุงอาบูดาบีจนทำให้เรือบรรทุกน้ำมันเสียหาย 3 ลำ และมีรายงานว่าพบโดรนตกในเขตสนามบินซึ่งทำให้เกิดระเบิดและเพลิงไหม้ขึ้น จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย
ด้านฝั่งกองกำลังพันธมิตรที่นำโดยซาอุดิอาระเบียได้ตอบโต้กบฏฮูตีด้วยการโจมตีทางอากาศในกรุงซานา เมืองหลวงของเยเมน จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 20 ราย โดยสื่อของรัฐบาลซาอุฯ ทวีตข้อความว่า การโจมตีในยูเออีเป็นพฤติกรรมที่เป็นศัตรู และถือเป็นอาชญากรรมสงครามที่ผู้กระทำผิดต้องรับผิดชอบ
ความขัดแย้งในเยเมนมีมานานกว่า 30 ปีแล้ว โดยกลุ่มกบฏฮูตีเริ่มต้นจากความไม่พอใจของมุสลิมชิอะห์กลุ่มหนึ่งต่อผู้ปกครองเยเมนซึ่งเป็นมุสลิมซุนนีที่พยายามลบประวัติศาสตร์การปกครองที่เคยอยู่ภายใต้ผู้นำชิอะห์นับ 100 ปี ให้หมดไปจากความทรงจำของคนรุ่นใหม่
นอกจากประเด็นความไม่สงบในตะวันออกกลาง อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งต่อเนื่องมาจากมุมมองที่เป็นบวกมากขึ้นต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งทำให้ความต้องการเชื้อเพลิงฟอสซิลเพิ่มสูงขึ้น
ความกังวลเกี่ยวกับการถูกโจมตีคลังน้ำมันของยูเออีซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อันดับ 3 ของกลุ่มโอเปก และความคาดหวังว่าอุปสงค์จะเพิ่มขึ้น ดันราคาน้ำมันพุ่งสูงสุดในรอบกว่า 7 ปี นับตั้งแต่เดือน ต.ค. ปี 2014 ซึ่งอาจสร้างแรงกดดันต่อค่าครองชีพของผู้คนทั่วโลก
อ้างอิง: https://www.bbc.com/news/business-60044210
——————-
- Facebook: https://finno.me/the-opp-fb
- Youtube: https://finno.me/youtube-channel