ราคาทองคำร่วงลงต่ำกว่า 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เร่งดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น ท่ามกลางการมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับตลาดแรงงานและความกังวลเรื่องเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น
โลหะร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 6 สัปดาห์ในวันพฤหัสบดี เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์ยังคงแข็งค่า หลังจากประธานเฟด เจอโรม พาวเวลล์ กล่าวว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะเริ่มหารือเกี่ยวกับการปรับลดการซื้อพันธบัตร
ธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังเปิดเผยการคาดการณ์ที่แสดงให้เห็นว่า จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสองครั้งภายในสิ้นปี 2566 ซึ่งเร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อค่าเงินดอลลาร์ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงส่งผลกระทบต่อทองคำ โดยราคาทองคำแท่งปรับตัวลดลงมากที่สุดในรอบ 5 เดือนเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ทะลุผ่านระดับแนวรับที่สำคัญหลายระดับ รวมถึงการร่วงลงต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (MA) 100 วัน
Giovanni Staunovo นักวิเคราะห์จาก UBS Group AG กล่าวว่า “เรามีมุมมองที่เป็นลบต่อทองคำ โดยคาดว่าราคาทองคำจะลดลงมาอยู่ที่ 1,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วง 6 ถึง 12 เดือนข้างหน้า“
ด้าน Naeem Aslam หัวหน้านักวิเคราะห์ตลาดของ AvaTrade กล่าวในรายงานเมื่อวันพฤหัสบดีว่า ขณะนี้ทองคำมี “ความน่าสนใจลดลง” และหากราคายังคงต่ำกว่า 1,800 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ทองคำอาจเสี่ยงต่อการ “เทขายอย่างรุนแรง“
ราคาทองคำแท่งร่วงลงอย่างต่อเนื่องหลังจากการประชุมเฟดสองวัน อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะทำให้ทองคำสูญเสียความแวววาวไปเมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่น รวมถึงพันธบัตรที่มีแนวโน้มว่าจะได้รับประโยชน์ในสภาพแวดล้อมที่อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น และค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อทองคำ
ราคาทองคำสปอต (Spot gold) ลดลง 1.7% สู่ระดับ 1,780.84 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ณ เวลา 10:46 น. ตามเวลานิวยอร์ก ราคาเงิน แพลตตินั่ม และพาลาเดียมก็ลดลงเช่นกัน ในขณะที่ Bloomberg Dollar Spot Index เพิ่มขึ้น 0.4%
หุ้นของบริษัทขุดทองคำชั้นนำอย่าง Newmont (NEM), AngloGold Ashanti (AU) และ Barrick (GOLD) ต่างก็ลดลงในเช้าวันพฤหัสบดีเช่นกัน เช่นเดียวกับกองทุน ETF ที่เกี่ยวข้องกับทองคำ เช่น SPDR Gold Shares (GLD) และ VanEck Vectors Gold Miners ETF (GDX)
ที่มา: Bloomberg, CNN
- Facebook: https://finno.me/the-opp-fb
- Youtube: https://finno.me/youtube-channel