หลัง WHO ประกาศให้ไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ‘โอมิครอน’ เป็นสายพันธ์ุระดับที่น่ากังวล ทั่วโลกต่างวิตกกังวลว่าสายพันธุ์ใหม่นี้อาจทำให้การแพร่ระบาดมีความรุนแรงมากขึ้น อย่างไรก็ตาม รายงานเบื้องต้นระบุว่า ความเสี่ยงจาก ‘โอมิครอน’ อาจไม่รุนแรงอย่างที่คิด
ส่งผลให้เช้านี้ (7 ธ.ค.) ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้น หลังนักลงทุนคลายกังวลในความรุนแรงของโอมิครอน โดยดัชนี CSI300 ในตลาดหุ้นจีน ปรับเพิ่มขึ้น 0.12% ขณะที่ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ดัชนี Nikkei 225 ปรับตัวขึ้น 0.25% และดัชนี Topix เพิ่มขึ้น 0.34%
ขณะที่เมื่อคืนนี้ (6 ธ.ค.) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นหักล้างการร่วงแรงในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยดัชนี Dow Jones พุ่งขึ้นกว่า 650 จุด หรือ 1.87% ขณะที่ ดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 0.93% และดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้น 1.17%
แอนโทนี ฟาวซี ผู้เชี่ยวชาญระดับสูงด้านโรคติดเชื้อของสหรัฐฯ และหัวหน้าที่คณะปรึกษาทางการแพทย์ของปธน.โจ ไบเดน กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ (5 ธ.ค.) ที่ผ่านมาว่า เท่าที่พบในตอนนี้โอมิครอนไม่ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยอย่างรุนแรง แต่อาจเร็วเกินไปที่จะด่วนสรุป และกล่าวชื่นชมรัฐบาลแอฟริกาใต้ที่เปิดเผยข้อมูลการพบโอมิครอนอย่างโปร่งใส
โดยรายงานล่าสุดระบุว่า สหรัฐฯ พบผู้ติดเชื้อโอมิครอนแล้วอย่างน้อย 16 รัฐ ซึ่งผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนครบถ้วนและมีอาการเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ขณะที่ โรเชล วาเลนสกี้ ผู้อำนวยการศูนย์เพื่อการป้องกันและควบคุมโรคของสหรัฐฯ (CDC) กล่าวว่า 99.9% ของผู้ติดเชื้อรายใหม่ในสหรัฐฯ ยังคงเป็นสายพันธุ์เดลต้า
สอดคล้องกับรายงานจากสถานพยาบาลหลักในแอฟริกาใต้ที่พบว่า แม้จำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มสูงขึ้น แต่จำนวนผู้ที่เข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลนั้นลดลง โดยตั้งแต่วันที่ 14-29 พ.ย. มีผู้ติดเชื้อเพียง 42 ราย จากทั้งหมด 166 ราย ที่ยังคงรักษาตัวอยู่ในหอผู้ป่วยโควิด
ข้อมูลในรายงานดังกล่าวพบว่า คนไข้เกือบทั้งหมดในหอผู้ป่วยโควิดไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ และยังไม่มีใครมีอาการปอดอักเสบจากการติดเชื้อ โดย 80% ของคนไข้ที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลมีอายุมากกว่า 59 ปี นอกจากนี้ยังพบว่า ระยะเวลาเฉลี่ยในการรักษาตัวอยู่ที่เพียง 2.8 วัน เทียบกับ 8.5 วันในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม รายงานดังกล่าวยังไม่ผ่านการตรวจสอบทบทวนโดยผู้ทรงคุณวุฒิ (peer reviewed) และผู้เขียนระบุว่า ยังคงต้องจับตาพัฒนาการของไวรัสสายพันธุ์ใหม่โดยเฉพาะในช่วง 2 สัปดาห์ข้างหน้านี้
——————-
- Facebook: https://finno.me/the-opp-fb
- Youtube: https://finno.me/youtube-channel