กลุ่ม OPEC+ รวมถึงซาอุดีอาระเบียและรัสเซีย ประกาศลดกำลังการผลิตน้ำมันลง 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของราคาน้ำมันดิบ แม้สหรัฐฯ จะเรียกร้องให้ผลิตมากขึ้นเพื่อกดดันรัสเซียและช่วยเศรษฐกิจโลกก็ตาม
หลายฝ่ายมองว่าการปรับลดกำลังการผลิตอาจเป็นการช่วยให้รัสเซียมีรายได้เพิ่มเพื่อใช้จ่ายในการทำสงครามกับยูเครน และยังทำลายโอกาสของปธน.สหรัฐฯ โจ ไบเดน ที่ต้องการควบคุมราคาพลังงานภายในประเทศ
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ราคาน้ำมันโลกปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะปรับขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อนจากความหวังว่า กลุ่ม OPEC+ จะลดกำลังการผลิต โดยล่าสุด (6 ต.ค.) ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวขึ้นมา 0.24% อยู่ที่ $93.59 บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้นมา 0.23% อยู่ที่ $87.96 บาร์เรล
ด้านทำเนียบขาวของสหรัฐฯ กล่าวในแถลงการณ์ว่า ปธน.ไบเดนผิดหวังกับการตัดสินใจที่ตื้นเขินของ OPEC+ ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับผลกระทบด้านลบอย่างต่อเนื่องจากการรุกรานยูเครนของปูติน
โดยฝ่ายบริหารของไบเดนจะปรึกษากับสภาคองเกรสเกี่ยวกับเครื่องมือเพิ่มเติมเพื่อลดอำนาจการควบคุมพลังงานของกลุ่ม OPEC+ พร้อมระบุว่า นี่เป็นเครื่องเตือนใจสำหรับสหรัฐฯ ในการลดการพึ่งพาแหล่งเชื้อเพลิงฟอสซิลจากต่างประเทศ
Stephen Brennock นักวิเคราะห์อาวุโสของ PVM Oil กล่าวว่า OPEC+ อ้างว่าภารกิจของกลุ่มคือการประกันราคาสำหรับทั้งฝั่งผู้บริโภคและผู้ผลิต แต่การตัดสินใจดังกล่าวกำลังขัดต่อวัตถุประสงค์ของกลุ่ม นี่เป็นการเคลื่อนไหวที่เห็นแก่ตัวและมุ่งเป้าไปที่ผลประโยชน์ของผู้ผลิตเท่านั้น
Rohan Reddy ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของ Global X ETFs กล่าวว่า การตัดสินใจลดการผลิตดังกล่าวอาจทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นสู่ระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยสมมติฐานที่ว่าไม่มีการระบาดใหญ่ของโควิดทั่วโลก และ Fed ไม่ใช้นโยบายการเงินเข้มงวดอย่างไม่คาดคิด
โดย Rohan Reddy มองว่า สถานการณ์ที่เป็นไปได้มากสุดในระยะสั้นคือ ราคาน้ำมันจะลอยตัวอยู่ในช่วง 90 ถึง 100 ดอลลาร์
อ้างอิง:
——————-
👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน
- Facebook: https://finno.me/the-opp-fb
- Youtube: https://finno.me/youtube-channel