วันที่ 5 ส.ค. Moderna เผยผลการศึกษาว่า การฉีดวัคซีนเข็มบูสเตอร์ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันต่อไวรัสสายพันธุ์เดลต้าได้ โดยรายงานพร้อมกับประสิทธิภาพวัคซีน และผลประกอบการไตรมาส 2 ของบริษัท
ในการทดลองระยะที่ 2 บริษัทได้ทดลองฉีดเข็มบูสเตอร์ขนาด 50 ไมโครกรัม ในผู้ที่เคยได้รับวัคซีนแล้ว โดยมีโดสยาสูตรใหม่ 3 ชนิดที่นำมาทดลอง ผลการทดลองพบว่า เข็มบูสเตอร์สร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในไวรัสหลายสายพันธุ์ หนึ่งในนั้นคือสายพันธุ์เดลต้า และมีปริมาณแอนติบอดี้เกือบเท่าผู้ที่ได้รับวัคซีนขนาด 100 ไมโครกรัม จำนวน 2 เข็ม
นอกจากนี้ Moderna ยังแสดงประสิทธิภาพของวัคซีนที่ระดับ 93% หลังจากฉีดเข็มที่ 2 ผ่านไป 6 เดือน ที่ก่อนหน้านี้บริษัทคู่แข่งอย่าง Pfizer เปิดเผยประสิทธิภาพวัคซีนหลังฉีดเข็มที่ 2 เหลือเพียง 84% เมื่อผ่านไป 6 เดือน
โดย Modena แสดงความเห็นว่าผู้คนควรได้รับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ก่อนจะถึงฤดูหนาวในปีนี้ อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขยังไม่แนะนำให้ฉีดเข็มบูสเตอร์เพิ่มเติม
การทดลองใหม่ๆ เกี่ยวกับเข็มบูสเตอร์เกิดขึ้นหลังจากไวรัสสายพันธุ์เดลต้าแพร่กระจายไปในหลายประเทศ โดยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคกล่าวว่า ไวรัสสายพันธุ์นี้อาจทำให้ผู้สูงอายุได้รับไวรัสง่ายขึ้น แม้จะได้รับวัคซีนครบแล้วก็ตาม
ผู้คนในสหรัฐฯ เริ่มต้องการวัคซีนเข็มบูสเตอร์มากขึ้น ท่ามกลางความกังวลต่อการแพร่ระบาดของสายพันธุ์เดลต้า แต่องค์การอนามัยโลกได้ออกมาเรียกร้องในวันที่ 4 ส.ค. ให้ประเทศที่ร่ำรวยระงับแผนการฉีดเข็มบูสเตอร์ เพราะมีอีกหลายประเทศทั่วโลกยังได้รับวัคซีนไม่ถึง 10% ของประชากร
ทั้งนี้ ผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ของบริษัท ดีกว่าที่นักวิเคราะห์จาก Refinitiv คาดการณ์ โดย กำไรต่อหุ้น (EPS) อยู่ที่ $6.46 เทียบกับคาดการณ์ที่ $5.96 และ รายได้อยู่ที่ 4,350 ล้านดอลลาร์ เทียบกับคาดการณ์ที่ 4,200 ล้านดอลลาร์
โดยบริษัทตั้งเป้าหมายผลิตวัคซีนจำนวน 800 – 1,000 ล้านโดสในปีนี้ และได้ลงนามในสัญญาการผลิตวัคซีน มูลค่า 20,000 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ และ 12,000 ล้านโดสในปี 2022
ที่มา: CNBC
- Facebook: https://finno.me/the-opp-fb
- Youtube: https://finno.me/youtube-channel