Tesla ประกาศยอดส่งมอบและยอดผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในไตรมาส 3 ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ โดยเติบโตขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า แม้บริษัทจะเผชิญปัญหาขาดแคลนชิปที่ส่งผลกระทบต่อการผลิตก็ตาม
Tesla รายงานยอดส่งมอบรถยนต์ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2021 อยู่ที่ 241,300 คัน สูงกว่าที่นักวิเคราะห์จาก StreetAccount คาดการณ์ไว้ที่ 220,900 คัน
ในขณะที่ ยอดผลิตรถยนต์ทั้งหมดอยู่ที่ 237,823 คัน โดย 228,882 คัน คือ รถยนต์รุ่นราคาระดับกลางอย่าง Model 3 และ Model Y และอีก 9,275 คัน คือรุ่นท็อปอย่าง Model S และ Model X
ยอดดังกล่าวเติบโตขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2021 Tesla รายงานยอดส่งมอบรถยนต์ที่ 201,250 คัน และยอดผลิต 206,421 คัน โดยสามารถผลิตรถยนต์ Model S และ Model X ได้ต่ำกว่า 2,500 คัน
Tesla กล่าวว่า ยอดส่งมอบรถยนต์ของบริษัทจะถูกนับเฉพาะรถยนต์ที่ถูกโอนไปยังลูกค้าและเอกสารทั้งหมดถูกต้องเท่านั้น ทำให้ตัวเลขที่แท้จริงอาจแตกต่างมากกว่า 0.5% จากที่รายงาน
นอกจากรถยนต์ไฟฟ้า 4 รุ่นข้างต้น Tesla ยังมีแผนผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ เช่น Cybertruck รถกระบะไฟฟ้า และ Semi รถบรรทุกหัวลาก แต่ Tesla อาจต้องเผชิญความท้าทายเพราะมีคู่แข่งรถยนต์ไฟฟ้าประเภทดังกล่าวในตลาดอยู่แล้ว เช่น F-150 Lightning ของ Ford
ไตรมาสที่ 3 ลูกค้าของ Tesla เผชิญกับความล่าช้าในการจัดส่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดย Tesla รับรู้ถึงปัญหาดังกล่าว และอ้างถึงปัญหาด้านห่วงโซ่อุปทานและโลจิสติกส์ทั่วโลก พร้อมขอบคุณลูกค้าที่อดทนรอ
ปัจจุบัน Tesla มีโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด 4 แห่ง ประกอบไปด้วยในสหรัฐฯ 3 แแห่ง และในจีนอีก 1 แห่ง โดยบริษัทยังคงผลิตแบตเตอรี่กับ Panasonic ที่โรงงานในรัฐเนวาดาของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ในช่วงสิ้นเดือน ก.ย. Tesla ได้เริ่มนำเข้าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนฟอสเฟตจากจีน เพื่อนำไปใช้ในรถยนต์ Model 3 สำหรับลูกค้าในสหรัฐฯ
แม้ยอดส่งมอบและยอดขายรถยนต์ในไตรมาสที่ 3 จะดีกว่าที่คาด แต่ Tesla ยังคงเผชิญปัญหาการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก จนทำให้บริษัทต้องระงับการดำเนินการบางส่วนชั่วคราว ในโรงงานประกอบรถยนต์ที่เซี่ยงไฮ้ ซึ่งผลิตรถยนต์สำหรับลูกค้าในจีนและยุโรป
รถยนต์ไฟฟ้าโมเดลใหม่ของบริษัทคู่แข่งกำลังอยู่ระหว่างการผลิตและส่งมอบให้ลูกค้าในสหรัฐฯ เช่น R1T ของบริษัท Rivian และ Lucid Air จาก Lucid Motors ซึ่งบ่งชี้ว่าการแข่งขันในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้ากำลังร้อนแรง
จากการสำรวจในเดือน มิ.ย. 2021 ของ Pew Research พบว่า คนอเมริกัน 39% มีแนวโน้มที่จะพิจารณาใช้รถไฟฟ้าอย่างจริงจัง ในขณะที่อีก 7% ใช้รถยนต์ไฟฟ้าหรือรถยนต์ไฮบริดอยู่แล้ว ซึ่งความต้องการดังกล่าวได้รับแรงสนับสนุนจากราคาเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น รวมถึงกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น
ในประเทศจีน การซื้อป้ายทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าทำได้เร็วและถูกกว่าเมื่อเทียบกับรถยนต์ทั่วไป นอกจากนี้ รัฐบาลยังเสนอเงินอุดหนุน ลดหย่อนภาษี และลงทุนในที่ชาร์จไฟฟ้า เพื่อส่งเสริมการผลิตและการใช้รถยนต์ไฟฟ้า
ขณะที่สหรัฐฯ ปธน.โจ ไบเดนตั้งเป้าให้ยอดขายครึ่งหนึ่งของรถยนต์ใหม่ทั้งหมดเป็นรถยนต์ไฟฟ้าภายในปี 2030 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในเป้าหมายที่ต้องการลดการปล่อยมลพิษลงครึ่งหนึ่ง
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา (27 ก.ย.) นักวิเคราะห์อาวุโสจาก Alexander Potter ตั้งราคาเป้าหมายสำหรับหุ้น Tesla ไว้ที่ $1,200 จากราคาปัจจุบันที่ $774
โดยแม้ว่าส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ BEV ของ Tesla จะลดลง เพราะจำนวนคู่แข่งที่ยังน้อยในตอนนี้ แต่ Alexander Potter คาดว่าส่วนแบ่งตลาดโดยรวมของ Tesla จะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน เพราะท้ายที่สุดแล้ว Tesla ไม่ได้แข่งขันแค่กับรถยนต์ไฟฟ้า แต่แข่งขันกับรถยนต์ทุกประเภท
Sam Fiorani รองประธาน Auto Forecast Solutions กล่าวเห็นด้วยว่า Tesla คือผู้นำในตลาด ที่ไม่น่ามีใครสามารถเอาชนะได้ในเร็วๆ นี้ เพราะผู้คนจะยึดติดกับภาพลักษณ์แบรนด์ Tesla ไปอีกหลายปี แม้กระทั่ง Audi หรือ Mercedes ยังเผชิญความยากลำบากในการแข่งขัน และเชื่อว่า Tesla จะสามารถรักษาตำแหน่งผู้นำต่อไปได้ในอีกหลายปีข้างหน้า
อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2021/10/02/tesla-tsla-q3-2021-vehicle-delivery-numbers.html
——————-
- Facebook: https://finno.me/the-opp-fb
- Youtube: https://finno.me/youtube-channel