สำนักข่าว Bloomberg ได้ออกบทความพิเศษ สัมภาษณ์ผู้มีอิทธิพลในโลกการเงิน ถึงสิ่งที่พวกเขากังวลมากที่สุดในอีก 5-10 ปี ข้างหน้า
หนึ่งในผู้ให้สัมภาษณ์ครั้งนี้คือ Cathie Wood ซีอีโอของกองทุนเทคโนโลยี Ark Investment ที่แสดงความกังวลว่า เงินฝืด’ คือความเสี่ยงใหญ่ครั้งต่อไปของนักลงทุน
สมมติฐานของตลาดในตอนนี้คือ โลกกำลังอยู่ในภาวะเงินเฟ้อท่ามกลางการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน แต่ Cathie Wood ได้เห็นวัฏจักรตลาดมามากมายตั้งแต่เริ่มทำธุรกิจในทศวรรษที่ 70 และเคยผ่านช่วงเวลาที่อัตราเงินเฟ้อโหมกระหน่ำมาแล้ว เธอมั่นใจว่าตลาดตอนนี้ไม่ใช่ภาวะเงินเฟ้อ และหลายคนอาจกำลังวางแผนผิดพลาด
📉 การเติบโตของนวัตกรรมทำให้เกิดเงินฝืดที่ส่งผลบวก (Good Deflation)
Cathie Wood กล่าวว่า นี่คือยุคสมัยแห่งนวัตกรรมที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ประกอบไปด้วย 5 นวัตกรรมเด่น ได้แก่ การตรวจหาลำดับพันธุกรรม (DNA sequencing), วิทยาการหุ่นยนต์ (Robotics), การจัดเก็บพลังงาน (Energy Storage), ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) และ เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain Technology ) ซึ่งการเติบโตของนวัตกรรมเหล่านี้ก่อให้เกิดภาวะเงินฝืด
ต้นทุนการตรวจหาลำดับพันธุกรรมลดลงอย่างมาก ทุกๆ ครั้งที่การตรวจหาลำดับพันธุกรรมเพิ่มขึ้นสองเท่า ต้นทุนจะลดลง 40% โดยการตรวจหาลำดับพันธุกรรมครั้งแรกในปี 2003 ต้องใช้งบประมาณกว่า 2,700 ล้านดอลลาร์ และใช้เวลากว่า 13 ปี เพื่อประมวลผล แต่ในปี 2021 ต้นทุนเหลือแค่เพียง 500 ดอลลาร์ ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
Cathie Wood เชื่อว่า นวัตกรรม DNA sequencing จะปฏิรูประบบเฮลท์แคร์ และช่วยให้ผู้คนมองเห็นว่า ค่ารักษาพยาบาลมากกว่าครึ่งในปัจจุบันถูกใช้จ่ายไปอย่างสูญเปล่า
ในขณะที่ ต้นทุนการฝึกอบรม AI ลดลงถึง 68% ต่อปี ซึ่งนี่หมายความว่า ผู้คนจะได้เห็นการเติบโตในผลิตภัณฑ์จำนวนมากที่ดีกว่า ถูกกว่า เร็วกว่า และสร้างสรรค์กว่าผลิตภัณฑ์เดิมๆ
รถยนต์ไฟฟ้าและระบบแบตเตอรี่ก็เช่นเดียวกัน ทุกๆ ครั้งที่ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 2 เท่า ต้นทุนของแบตเตอรี่จะลดลง 28% และค่าใช้จ่ายของรถยนต์ไฟฟ้าจะลดลงประมาณ 15% ในขณะที่ค่าใช้จ่ายของหุ่นยนต์อุตสาหกรรมจะลดลง 20% ในทุกครั้งที่มีการเพิ่มขึ้น 2 เท่า
📉 ผลที่ตามมาคือ เงินฝืดที่ส่งผลลบต่อตลาด (Bad Deflation)
การพังทลายของโทรคมนาคมและการล่มสลายทางการเงินในปี 2008-2009 ทำให้นักลงทุนและนักวิเคราะห์หลีกเลี่ยงความเสี่ยงในตลาด เน้นลงทุนให้ได้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับเกณฑ์มาตรฐาน (Benchmark) เพื่อลดความผันผวน
ปัญหาที่เกิดขึ้นคือนวัตกรรมใหม่ๆ เหล่านี้จะทำลายโลกดั้งเดิมแบบมหาศาล ทำให้ Benchmark ในปัจจุบันที่สร้างขึ้นจากความสำเร็จในอดีตของบริษัทอาจใช้ไม่ได้อีกต่อไป
บริษัทจำนวนมากที่ไม่ได้ลงทุนในนวัตกรรมมากพอ จะต้องปิดตัวลงในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ในช่วงเริ่มต้นของดัชนี S&P 500 อายุเฉลี่ยของบริษัทคือ 100 ปี แต่ Cathie Wood เชื่อว่าอายุเฉลี่ยของบริษัทจะลดลงเหลือเพียง 20 ปี
📉 สัญญาณที่น่าสนใจในวัฏจักรราคา
ราคาไม้พุ่งสูงถึง $1,700 ในปีที่แล้วจากการปรับปรุงบ้าน และความต้องการบ้านใหม่ในชานเมือง แต่ ณ ตอนนี้ ราคาไม้เหลือเพียง $600 ซึ่งหลายคนมองว่านี่เป็นเรื่องไม่น่าเชื่อ เพราะตลาดที่อยู่อาศัยยังคงร้อนแรง ซึ่งนี่แสดงให้เห็นว่า ราคาไม้พุ่งเร็วและไกลเกินไป
ตอนนี้ผู้บริโภคอาจรู้สึกว่าอำนาจในการซื้อกำลังลดลง เพราะราคาสินค้าและบริการเคลื่อนไหวเร็วกว่ารายได้ของพวกเขา แต่นี่เกิดจากปัญหาการขาดแคลนในห่วงโซ่อุปทาน
ช่วงที่ผ่านมา ผู้บริโภคจำนวนมากต้องการใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ธุรกิจไม่สามารถผลิตสินค้าได้ทันจากผลกระทบของโควิด-19 โดย Cathie Wood คาดว่า ธุรกิจต่างๆ จะเพิ่มการผลิตขึ้น 2-3 เท่า เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการ และค่อยลดการผลิตเมื่อราคาลดลง ซึ่งผลลัพธ์จะเป็นเหมือนราคาไม้ที่ดิ่งลงอย่างหนักตั้งแต่กลางเดือน พ.ค.
ดังนั้น Cathie Wood มองว่า ราคาสินค้าโภคภัณฑ์และสินค้าอื่นๆ จะลดลงอย่างหนัก เนื่องจากผู้บริโภคจะเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมจากการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคไปใช้ซื้อบริการต่างๆ มากขึ้น ในขณะที่ธุรกิจต่างๆ กำลังเร่งผลิตกันอย่างดุเดือด ส่งผลให้เกิดอุปทานส่วนเกินในที่สุด
——————-
- Facebook: https://finno.me/the-opp-fb
- Youtube: https://finno.me/youtube-channel