จากรากฐานการเป็นคอมมิวนิสต์ ทำให้ผู้นำของจีนไม่ได้มีปัญหากับการบดขยี้ผลประโยชน์ในตลาดทุน ถ้าธุรกิจเหล่านั้นขัดแย้งกับแผนการพัฒนาประเทศในระยะยาว ผู้นำจีนไม่ได้สนใจความผันผวนของตลาดหุ้น และความสูญเสียของนักลงทุนเลย
🇨🇳 กฎเกณฑ์เดิมๆ ของธุรกิจจีนจะไม่สามารถใช้ได้อีกต่อไป
การปราบปรามธุรกิจกวดวิชาเป็นชนวนสำคัญ ที่แสดงให้คนตระหนักว่ากฎเกณฑ์เดิมๆ ที่เคยใช้ในธุรกิจ จะไม่สามารถใช้ได้อีกต่อไป
จีนเริ่มมีสัญญาณการปราบปรามธุรกิจกวดวิชามาตั้งแต่ช่วงกลางเดือน มิ.ย. หลังประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง เดินทางเยี่ยมโรงเรียนประถมในเมืองซีหนิงอันห่างไกล
การเดินทางในครั้งนั้น สี จิ้นผิง ได้รับรู้ถึงปัญหาความกดดันที่เพิ่มขึ้นของเด็กนักเรียน และปัญหาภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของผู้ปกครอง จากการเรียนกวดวิชาเพิ่มเติม
สี จิ้นผิง ให้สัญญาว่าจะลดภาระดังกล่าว พร้อมกล่าวว่าไม่ควรมีครูพิเศษตามสถาบันกวดวิชามาแทนที่ครูในโรงเรียน แต่ความคิดเห็นในครั้งนั้น นักลงทุนยังไม่สังเกตเห็น
ไม่กี่สัปดาห์หลังจากนั้น ทางการจีนออกคำสั่งห้ามไม่ให้ธุรกิจการศึกษาแสวงหาผลกำไร ระดมทุน หรือขายหุ้น IPOs ส่วนธุรกิจที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์อยู่แล้วจะไม่สามารถควบรวมกิจการได้
การกระทำดังกล่าวแสดงให้เห็นว่านโยบายของประเทศคำนึงถึงสังคม มากกว่าการเงินและเศรษฐกิจ และรัฐบาลจีนต้องการลดต้นทุนการศึกษาที่สูงเกินจนทำให้คนจีนไม่อยากมีลูก
🇨🇳 จีนเหวี่ยงอำนาจรัฐเพื่อสนับสนุนคนชนชั้นกลางมากขึ้น
การปกครองแบบ Progressive Authoritarianism (เผด็จการแบบก้าวหน้า) ทำให้คนชนชั้นกลางไปถึงล่างต้องดิ้นรนอย่างเหน็ดเหนื่อย
ตั้งแต่พนักงานส่งของที่เหนื่อยล้าจากรายได้ไม่พอรายจ่าย หรือผู้ปกครองที่ต้องดิ้นรนกับราคาบ้านและค่าเล่าเรียนที่สูงขึ้น ตลอดจนบริษัทขนาดเล็กที่ต้องต่อสู้กับการผูกขาดทางเทคโนโลยี
เติ้ง เสี่ยวผิง อดีตผู้นำคนสำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์จีน กล่าวในช่วงกลางทศวรรษ 1980 ว่าไม่เป็นไร ถ้าหากบางคนจะรวยก่อนคนอื่น
ในหลายทศวรรษที่ผ่านมา แม้จะมีการคุมเข้มอย่างหนักในธุรกิจธนาคารและน้ำมัน แต่ผู้นำของจีนให้อิสระแก่ผู้ประกอบการและนักลงทุนในการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ เพื่อเป็นโอกาสในการเติบโต
ดูเหมือนว่านี่คงถึงเวลาที่รัฐบาลจีนจะเหวี่ยงอำนาจกลับมาสู่คนชนชั้นกลางมากขึ้น เพื่อก้าวไปสู่ช่วงต่อไปของการพัฒนา
🇨🇳 เป้าหมายชาติในระยะยาว สำคัญกว่าผลประโยชน์ของนักลงทุนในตลาดหุ้น
จากรากฐานการเป็นคอมมิวนิสต์ ทำให้ผู้นำของจีนไม่ได้มีปัญหากับการเหยียบย่ำผลประโยชน์ในตลาดทุน ถ้าธุรกิจเหล่านั้นขัดแย้งกับแผนการพัฒนาประเทศในระยะยาว ความผันผวนของตลาดหุ้น และความสูญเสียของนักลงทุนไม่ได้ถูกนำขึ้นมาพิจารณาเลย
แผนการพัฒนาในระยะถัดไปให้ความสำคัญกับ 3 ด้าน
- ความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งรวมถึงความปลอดภัยของข้อมูล และการพึ่งพาเทคโนโลยีในประเทศให้มากขึ้น
- ความมั่งคั่งแห่งชาติ ความร่ำรวยต้องเกิดขึ้นแก่ทุกคน โดยมีจุดมุ่งหมายขจัดความไม่เท่าเทียมที่เพิ่มสูงขึ้นในทศวรรษที่ผ่านมา
- เสถียรภาพแห่งชาติในระยะยาว และลดความไม่พอใจในกลุ่มชนชั้นกลางของจีน
แผนดังกล่าวย่อมก่อประโยชน์กับพนักงานส่งของ ผู้ปกครอง และธุรกิจขนาดเล็ก แต่คนที่เจ็บหนักก็มีไม่น้อยเช่นกัน
เหล่ามหาเศรษฐีด้านเทคโนโลยี บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีอำนาจอย่าง Evergrande หรือบริษัทร่วมทุนจากต่างประเทศที่หวังจะนำบริษัทจีนเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์อเมริกา ล้วนได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการคุมเข้มด้านกฎระเบียบของทางการจีน
แรงจูงใจส่วนหนึ่งของ สี จิ้นผิง มาจากความต้องการที่จะได้รับความนิยมก่อนมีการเปลี่ยนผ่านผู้นำในรอบทศวรรษซึ่งจะมีขึ้นในปีหน้า โดย สี จิ้นผิง ต้องการดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคต่อไปในสมัยที่ 3
🇨🇳 ข้อแนะนำการลงทุนจากผู้เชี่ยวชาญ
Dennis Lam จาก DBS กล่าวว่านักลงทุนต้องคำนึงถึงสิ่งที่เลวร้ายที่สุดอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะในธุรกิจที่มีความเสี่ยงจากการจัดระเบียบของทางการอย่าง กาารศึกษา, e-commerce, อินเทอร์เน็ต และสุขภาพ
หน่วยงานกำกับดูแลหลักทรัพย์ของจีนพยายามบรรเทาความวิตกกังวลของตลาดลง แม้จะไม่มีการประกาศต่อสาธารณะ แต่ได้กล่าวในการประชุมกับธนาคารวาณิชธนกิจขนาดใหญ่ว่า จีนยังอนุญาตให้บริษัทจีนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อเมริกา
Thomas Fang หัวหน้าฝ่ายตลาดโลกของจีนจาก UBS กล่าวว่า ในระยะยาวการลงทุนในตลาดจีนเป็นสิ่งสำคัญ แต่นักลงทุนต้องป้องกันความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของนโยบาย
Dennis Lam มองว่าตอนนี้หุ้นในตลาดเดิมๆ ที่ไม่เกี่ยวกับความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ ถือเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ราคาหุ้นจีนร่วงลงอย่างหนัก
อย่างไรก็ตาม Dennis Lam เชื่อว่าผลตอบแทนจากตลาดใหม่ๆ ยังคงคุ้มค่ากับความเสี่ยง ด้วยมูลค่าที่น่าสนใจ และปัจจัยพื้นฐานที่ไม่ได้รับผลกระทบ
- Facebook: https://finno.me/the-opp-fb
- Youtube: https://finno.me/youtube-channel