นักลงทุนมือใหม่หลายคนคงประสบกับปัญหาที่ว่าตลาดหุ้นมี 600-700 บริษัท ไม่รู้จะเริ่มลงทุนตัวไหนดี บางคนเลือกหุ้นที่มีตัวอักษรแรกตรงกับชื่อตัวเองเพื่อความเป็นสิริมงคล บางคนเลือกหุ้นที่กำลังดังจากข่าวตามสื่อต่าง ๆ แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี ผมขอแนะนำเป็นคำขวัญแบบนี้เลยครับจะได้จำกันง่าย ๆ
“หุ้นดี มีคุณธรรม ขยันทำกำไร”
หุ้นดี ต้องมีดี 3 ด้าน คือ
1) เข้าใจดี
เลือกบริษัทที่เรารู้จักเป็นอย่างดี รู้ว่าเค้าขายอะไร หรือแม้แต่เป็นหุ้นที่เราใช้บริการอยู่ เหมือนกับหลักการที่ปีเตอร์ ลินซ์ บอกว่าเขาได้หุ้นห่านทองคำหลายตัวจากการคุยกับเพื่อนฝูง ขับรถเที่ยววันหยุด หรือไปซื้อของตามห้าง เช่น หุ้นเสื้อผ้า GAP ที่เห็นคนซื้อกันเยอะแยะ และเปิดสาขาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เค้ากลับมาเปิดดูงบการเงินและทำกำไรได้อย่างมากในที่สุด
หลักการทดสอบง่าย ๆ ว่าเราเข้าใจได้ดีจริง คือ เราสามารถเล่าเรื่องหุ้นตัวนี้ให้ใครฟังก็รู้เรื่องภายใน 5 นาที หรือ เราวาดเป็นภาพออกมาง่าย ๆ บนกระดาษแผ่นเดียวได้ ถ้าแม้แต่เด็ก 10 ขวบ ยังรู้เรื่อง แปลว่า เราเข้าใจหุ้นตัวนี้ดี
2) ปลอดภัยดี
หุ้นตัวแรกไม่ควรเป็นหุ้นที่มีความเสี่ยงเพราะถ้าเราขาดทุนจะทำให้เราหมดกำลังใจ และคิดว่าตลาดหุ้นมันแสนโหดร้าย ทำไมทำกับชั้นแบบนี้ และทำให้เรากลัวตลาดไป อัตราส่วนง่าย ๆ ที่เราควรพิจารณาไว้ก่อนเลยคือ
- สภาพคล่องดีมั้ย เช่น Current Ratio > 2 เท่า Quick Ratio > 1.5 เท่า เพื่อบอกว่าถ้ามีปัญหาอะไรขึ้นมา บริษัทจ่ายหนี้ในระยะสั้นได้นะ
- D/E < 1 เท่า เพื่อบอกว่าบริษัทไม่ได้กู้หนี้ยืมสินมาเกินตัว จนสุดท้ายต้องเพิ่มทุนถ้าจะไปลุยโครงการที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม และถ้าจะให้ดีต้องดูด้วยว่าหนี้ที่มีเป็นหนี้ที่มีดอกเบี้ยหรือเปล่า เพราะบางธุรกิจมีหนี้สูง ๆ แต่เป็นเจ้าหนี้การค้าก็อาจะไม่น่าห่วงมาก
- CFO เป็นบวก เพราะนั่นคือเงินสดที่บริษัทได้เข้ามาในกระเป๋าจริง ๆ หลายครั้งมือใหม่มักจะพลาดดูเฉพาะงบกำไรขาดทุนและเห็นบรรทัดสุดท้ายเป็นตัวเลขสูง ๆ คิดว่าดี แต่ไม่เข้าใจว่าเขาบันทึกด้วยเกณฑ์สิทธิ์ คือ ขายของได้แต่ให้เครดิตไว้ก่อนยังไม่ได้รับเงินจริงก็บันทึกตัวเลขได้ เพราะฉะนั้นอย่าลืมดู CFO เทียบกับ Net Profit ทุกครั้ง
- อัตรากำไรเป็นเลขสองหลักและโตต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น GPM, EBIT, NPM ถ้าจะให้ปลอดภัย ควรเห็นตัวเลขที่สูง ๆ ไว้ก่อนเสมอและไม่เหวี่ยงในแต่ละปี เพราะถ้าบริษัทไหนมี GPM 5% EBIT 2% NPM 1% มันเสี่ยงมาก คือ แค่คุณลืมปิดแอร์ทิ้งไว้เผลอ ๆ ขาดทุนได้ทันที
- Cash Cycle ยิ่งน้อยยิ่งดี เพราะนั่นคือการที่เรามีเงินมาหมุนเวียนในกิจการได้ดี เรามักจะสังเกตเห็นว่าหุ้นค้าปลีกมักมี CC เป็นลบ เพราะว่ารับเงินสดจากลูกค้าแต่จ่ายเงิน supplier เป็นเครดิต ทำให้ไม่ต้องกู้เงินเยอะ และเอาไปหมุนเวียนในกิจการได้อีก
- ROE เติบโตสม่ำเสมอในทุกปี เพราะค่า ROE เป็นตัวบอกว่าบริษัทสร้างผลกำไรกลับมาหาผู้ถือหุ้นเท่าไหร่ จริง ๆ แล้ว ROE เป็นตัวเลขมหัศจรรย์ตัวนึงเลยทีเดียว เพราะถ้าเราแยกออกมาดูเป็นส่วน ๆ มันจะประกอบไปด้วยเรื่องของอัตราการทำกำไร ความคุ้มค่าของการใช้สินทรัพย์ และ การก่อหนี้เพื่อเติบโต (ใครสนใจเพิ่มเติมลองศึกษาเรื่อง Dupont Analysis)
3) ปันผลดี
หุ้นตัวแรกอย่างน้อยขอให้มีปันผล 3-4% เพื่อให้เราอุ่นใจว่าอย่างน้อยก็มากกว่าเอาเงินไปฝากธนาคาร หรือพลาดพลั้งเสียที อย่างน้อยก็มีเงินปันผลรองรับ
มีคุณธรรม ค้ำจุนเรา
หุ้นก็คือบริษัท แต่สิ่งที่จะนำพาธุรกิจให้เติบโต คือ คนหรือผู้บริหารที่ดี เราต้องพิจารณาให้ละเอียดรอบคอบว่า เจ้าของหรือผู้บริหารของบริษัทที่เราจะไปร่วมหัวจมท้ายด้วยนั้นไว้ใจได้หรือไม่ เคยมีคดีความอะไรมั้ย เคยต้องสงสัยว่าปั่นหุ้นหรือเปล่า ง่าย ๆ เลยคือ เอาชื่อเขาไป search google แล้วตามด้วยคำว่า “ปั่นหุ้น” ถ้าไม่มีอะไรไม่ดีขึ้นมาก็อุ่นใจได้ในระดับนึง
นอกจากนี้เราก็อาจจะลองสังเกตจากรายงานผู้ตรวจสอบบัญชีว่า โดยปกติแล้วรับรองงบการเงินทุกไตรมาสหรือเปล่า หรือว่าไม่รับรอง ไม่ถูกต้อง มีเงื่อนไขในงบ ก็ให้เราสงสัยไว้ก่อนว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล
ให้ยึดหลักที่ท่านพุทธทาสภิกขุได้กล่าวไว้ว่า “คนดีสำคัญกว่าทุกสิ่ง” เหมือนเวลาเราเลือกคบเพื่อน หรือจะไปร่วมหุ้นทำธุรกิจกับใคร เราก็คงไม่อยากไปอยู่กับคนที่ไม่ดีซึ่งอาจจะนำเรื่องเดือดร้อนมาให้เราได้ในที่สุด
ขยันทำกำไร ทั้งบรรทัดแรกและสุดท้าย
เรามักจะได้ยินกันบ่อย ๆ กับคำว่า Top Line และ Bottom Line
- Top Line ก็คือ รายได้ที่อยู่บนสุดของงบกำไรขาดทุน ถ้าเราเห็นแนวโน้มเติบโตเป็นสิ่งที่ดี บอกเราว่าบริษัทขายของได้เงินเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ยังหาลูกค้าได้อยู่
- Bottom Line คือ ตัวกำไรสุทธิ หลังจากหักค่าใช้จ่ายทุกอย่างรวมทั้งภาษีออกหมดแล้ว เพื่อบอกเราว่าเงินที่ลูกค้าซื้อของเราตั้งแต่ตอนต้นเนี่ย หักนู่นนี่นั่นแล้วเหลือเงินเข้ากระเป๋ากี่บาท ถ้ายิ่งเยอะและมีแนวโน้มเติบโตก็ยิ่งดี
และต้องตรวจสอบให้ดีว่าเป็นรายได้หรือกำไรพิเศษหรือเปล่า เพราะบางทีเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ทำให้เราเข้าใจผิดว่าจะโตแบบนี้ไปเรื่อย ๆ
สรุป หลักการง่าย ๆ สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่กำลังค้นหาหุ้นตัวแรกลองจำคำขวัญนี้ไปใช้ดูครับ “หุ้นดี มีคุณธรรม ขยันทำกำไร”
แต่สังเกตอะไรอย่างนึงมั้ยครับว่าผมไม่ได้พูดถึงเรื่องราคาหุ้นเลย เพราะผมเชื่อว่า “มูลค่าหรือคุณค่า” คือสิ่งแรกที่เราต้องพิจารณา และ “ราคา” คือสิ่งสุดท้ายที่เราค่อยไปดูต่างหากว่าคุ้มค่าแค่ไหนที่จะลงทุนเหมือนอย่างที่ Warren Buffet บอกเราว่า
“Price is What you Pay, Value is What you get”
โดย Stock Vitamins