4 แนวคิดและความประทับใจจากหนังสือเด็กวัดดอน ชีวิต ความฝัน และการลงทุนของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวากร

ถ้าหากพูดถึงนักลงทุนเน้นคุณค่าในประเทศไทย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวากร คงจะเป็นชื่อแรก ๆ ที่เรานึกถึง เนื่องจากเป็นผู้ที่นำหลักการลงทุนแบบเน้นคุณค่ามาเผยแพร่ในประเทศไทยเป็นคนแรก ๆ เรียกได้ว่าอาจารย์ใหญ่ในศาสตร์นี้ก็ว่าได้ อีกทั้งมีผลงานการเขียนที่เป็นที่รู้จักในหมู่นักลงทุน หนึ่งในหนังสือที่ขายดีตลอดกาลอย่าง “ตีแตก” ที่ถูกเขียนขึ้นและเผยแพร่ออกมาในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง จนทำให้ชื่อของดร.นิเวศน์เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้าง 

ล่าสุด ดร.นิเวศน์ ก็ได้ออกหนังสือเล่มใหม่ ในชื่อ “เด็กวัดดอน ชีวิต ความฝัน และการลงทุน”

หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่รวบรวมชีวประวัติของ ดร.นิเวศน์ ในยุคที่ประเทศยังไม่เจริญมากนัก หากเทียบกับยุคนี้ ซึ่งเราสามารถรับรู้สภาพสังคม ความเป็นอยู่ของคนในสมัยนั้นผ่านการดำเนินชีวิตของ ดร.นิเวศน์ การต่อสู้ดิ้นรนจากเด็กในครอบครัวชั้นแรงงานสู่นักลงทุน VI ระดับ Top ของประเทศ

ผมได้อ่านหนังสือและได้มีโอกาสไปฟัง ดร.นิเวศน์ พูดสด ๆ ในงาน Meet&Read ที่ SET ได้จัดขึ้น (สามารถรับชมย้อนหลังได้ใน Youtube | SET Thailand) ผมจึงรวบรวมความประทับใจและแนวคิดดี ๆ ที่ได้จากหนังสือเด็กวัดดอน รวมเป็น 4 ข้อคิดมาฝากเพื่อน ๆ กัน

วางแผนให้ดี คุณชนะได้

ในหนังสือเล่าว่ามีครั้งหนึ่งที่ดร.นิเวศน์ได้เป็นตัวแทนนิสิตขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ต้อนรับนิสิตใหม่ ทั้งที่มีคนที่พูดเก่งกว่าและตัวเองนั้นไม่ได้เป็นคนที่พูดเก่งเอาเสียเลย แต่ชัยชนะในครั้งนี้เกิดจากการเตรียมตัว ท่องบทมาเป็นอย่างดี 

“คุณไม่เก่งมากหรอก แต่ถ้าคุณเตรียมตัวให้ดี วางแผนให้ดี คุณชนะได้”

ถ้าหากมาเปรียบเทียบกับการลงทุนของ ดร.นิเวศน์ ในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง ซึ่งมีการวางแผนไว้เป็นอย่างดี แล้ว 

ดร.นิเวศน์ เลือกที่จะลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งและให้เงินปันผลสม่ำเสมอ ในช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นไทยนั้นถล่มลงมา ราคาจึงถือว่าถูกมาก ราวกับขายแบกับดิน คิด ๆ ดูแล้วโอกาสแพ้ยากมาก เพราะต่ำกว่าพื้นฐานที่ควรจะเป็น

หากคำนวณเงินปันที่ได้รับแล้ว เพียงพอกับค่าใช้จ่ายอย่างแน่นอน และนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นของการลงทุน ซึ่งในปัจจุบันพอร์ตของดร.นิเวศน์นั้นเติบโตขึ้นอย่างมหาศาล 

แต้มต่อของความจน

บางช่วงในหนังสือเล่าถึงช่วงที่พอร์ตของ ดร.นิเวศน์ ที่ค่อย ๆ เติบโตขึ้น จากสิบล้านเป็นร้อยล้านและพันล้าน ดร.นิเวศน์ เล่าถึงตอนนั้นว่า

“ตอนที่ผมมีเงินพันล้าน ที่บ้านไม่มีใครรู้ว่ารวย ผมยังไม่มีรถ ไม่มีบ้านเป็นของตนเอง ไม่มีทรัพย์สมบัติอื่นเลยยกเว้นหุ้น ที่จริงลูกผมกว่าจะรู้ว่าผมรวย เขาก็โตเป็นสาวแล้ว”

จึงมีคำถามว่าทำไมถึงไม่บอกลูกสาวไปตั้งแต่ต้น ดร.นิเวศน์ กล่าวว่า

“ผมเชื่อว่าถ้าเราจนลงมาหน่อยหรือว่าจนเยอะ คุณจะประสบความสำเร็จได้ง่ายกว่า เพราะถ้าหากรวยอยู่แล้วมักจะไม่อยากทำงาน ไม่มีเหตุผลที่ต้องดิ้นรน”

จากในหนังสือเราจะได้เห็นพัฒนาการของเด็กวัดดอนจากชนชั้นล่าง ที่พยายามสร้างตัวและดิ้นรนทำฝันให้เป็นจริงขึ้นมา 

สู้ในเกมที่เราสู้ได้

ในงาน meet&read ของหนังสือเด็กวัดดอน มีคำถามจากทางบ้านว่าทำไมอาจารย์ถึงเลือกลงทุนในเวียดนาม แทนที่จะไปลงทุนในสหรัฐฯ

ดร.นิเวศน์ กล่าวว่า “ตั้งแต่มาเป็นนักเลือก(เลือกหุ้นในการลงทุน) ผมจะไม่เลือกอะไรที่ทำแล้วสู้เขาไม่ได้ ไม่ทำอะไรที่ทำแล้วไม่ได้ประโยชน์ในระยะยาว” 

ดร.นิเวศน์ ให้เหตุผลเพิ่มเติมอีกว่า ตลาดสหรัฐฯ นั้นเต็มไปด้วยนักลงทุนมากความสามารถ จบจากมหา’ลัยชั้นนำ เช่น MIT หรือ Harward 

ไหนจะข้อจำกัดในเรื่องของภาษา อีกทั้งความห่างไกลคนละทวีป “เราต้องยอมรับว่าเราสู้เขาไม่ได้   

แต่ถ้าในวงการมันห่วยแตก แล้วเราเตรียมการมาอย่างดี แบบนี้เราชนะได้”

ปัจจุบันตลาดเวียดนามนั้นถือว่าเป็นตลาดเกิดใหม่และยังล้าหลังอยู่ ตลาดเต็มไปด้วยการเก็งกำไร แต่ในมุมมอง ดร.นิเวศน์ เชื่อว่าสักวันเมื่อเวียดนามเติบโตมากขึ้น หนึ่งแนวคิด VI หรือ Super Stock ก็จะเกิดขึ้นในตลาดเวียดนามเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย

หลักการสร้างความมั่งคั่ง 

หลักการที่ ดร.นิเวศน์ พูดมาตลอด ถึงเรื่องของการสร้าวงความมั่งคั่งคือ “แก้ว 3 ประการ” 

ซึ่ง ดร.ให้คำเปรียบเทียบความมั่งคั่งกับแก้วทั้ง 3 ว่า หากแก้วยิ่งสว่างมากก็หมายถึงมีความมั่งคั่งมากไปด้วยนั่นเอง

เมื่อมาขยายความแก้วในแต่ละดวง

แก้วดวงที่ 1 คือเงินลงทุนตั้งต้น หากจะทำให้แก้วดวงนี้สว่างก็อาจจะมาจากพื้นฐานครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวย หรือจากการทำงาน ประกอบอาชีพต่าง ๆ ที่มีรายได้สูง

แก้วดวงที่ 2 คือ ผลตอบแทนจากการลงทุน ซึ่งต่อยอดมาจากแก้วดวงแรก ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในสินทรัพย์อย่าง หุ้น ทองคำ เงินฝาก อสังหาฯ หากได้ผลตอบแทนจากการลงทุนอย่างดีเยี่ยมก็ทำให้แก้วดวงนี้สว่างได้เช่นกัน แต่ในทางกลับกันผลตอบแทนที่สูงอาจตามมาด้วยความเสี่ยงที่สูงจนบางที่ทำให้แก้วนี้สว่างจ้าจนแตกในที่สุด 

แก้วดวงที่ 3 คือ ระยะเวลาในการลงทุน ซึ่งอย่างที่เราทราบกันดีว่าสมการของดอกเบี้ยทบต้นนั้น มีตัวแปรอย่าง t (time = เวลา) หากยิ่งนานขึ้นผลตอบแทนก็ยิ่งเพิ่มขึ้นไปด้วย ในหนังสือจะมีหน้าที่แสดงผลตอบแทนของ ดร.นิเวศน์ รวม 26 ปี จะเห็นได้ว่าผลตอบแทนที่ทบต้นเป็นระยะเวลาเปรียบเสมือนลูกหิมะที่กลิ้งลงมาจากภูเขาสูงชัน (snowball)

มีความประทับใจมากมายที่ได้จากหนังสือเล่มนี้ ที่เด่นชัดเลยคือได้รับรู้ถึงการต่อสู้ดิ้นรนของดร.นิเวศน์ในแต่ละช่วงชีวิต และเส้นทางชีวิตจากเด็กวัดดอนสู่มหาเศรษฐีนักลงทุน ต้นทุนชีวิตที่ทบต้นไปเรื่อย ๆ ค่อย ๆดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่ละบทก็แฝงไปด้วยแนวคิดที่สะท้อนตัวตนอันเด่นชัดของ VI ผู้นี้ เช่น ไม่มีจุดพลิกชีวิตแบบฉับพลันทันใด ทุกอย่างนั้นเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป (ชนะอย่างเต่า)

ซึ่งเราสามารถหยิบแนวคิดมาปรับใช้ในทุกด้านของชีวิตได้ ไม่เพียงแต่ด้านการลงทุนเท่านั้น แต่รวมไปถึงการวางแผนการใช้ชีวิตอีกด้วย

สุดท้ายนี้หากเพื่อน ๆ คนไหนสนใจก็สามารถไปหาอ่านกันได้ ในหนังสือเด็กวัดดอนฉบับเต็ม เพราะบางทีคุณอาจจะได้มุมมองทั้งการใช้ชีวิตและการลงทุนใหม่ ๆ จากสุดยอด VI คนนี้ก็เป็นได้ครับ

Starlit