เรย์ ดาลิโอ ผู้จัดการกองทุนเฮดฟันด์ที่สร้างผลตอบแทนมากที่สุดในปี 2016 และครองแชมป์ที่ 1 มาหลายสมัย ปัจจุบันมียอดผลตอบแทนรวม ตั้งแต่สมัยก่อตั้ง Bridgewater มีประมาณ 49.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเฉพาะปี 2016 ปีเดียว Bridgewater สามารถระดมเงินจากลูกค้าได้ประมาณ 4.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ก่อนที่จะไปอ่านกลยุทธ์หรือแนวคิดของเขา ลองมาเดากันหน่อยไหมว่า เรย์ใช้แหล่งข้อมูลอะไรในการเทรด…
จากการสัมภาษณ์ของ Business Insider ได้ระบุว่า แหล่งที่มาของแนวคิดในการเทรดของเรย์ มาจากหนังสือพิมพ์เก่า ๆ อย่าง ข่าวสมัยวิกฤตเศรษฐกิจ Great Depression ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นปีที่ทำให้เกิด Stock Market Crash ในเดือนตุลาคม ปี 1929
รูปที่ 1 ภาพข่าวจากหนังสือพิมพ์ Daily Mail เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 1929
Image: www.history.com
ในช่วงนั้น มีประเด็นที่น่าสนใจหลายอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น
- ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนจากการเปิดเสรีทางการเงิน
- การไม่มีนโยบายการคลัง เนื่องจากในยุคนั้น ยึดแนวคิดทฤษฎีคลาสสิคที่ไม่ต้องการให้รัฐบาลเข้ามาแทรกแซง
- การล้มละลายของภาคเกษตร คนไม่มีรายได้
- เศรษฐกิจถดถอย เกิดการว่างงานอย่างยาวนาน เป็นต้น
ด้วยความที่เรย์เองมีความเป็นรู้อย่างยอดเยี่ยมเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ในเชิงปฏิบัติ (practical understanding of economics) ซึ่งเป็นความแตกต่างเฉพาะตัว จนทำให้เกิดเป็นที่มาของแนวคิด “How the Economic Machine Works” และเป็นวีดีโอที่มีการเข้าชมมากถึง 3.6 ล้านวิว
หากลองมองแนวคิดที่ถ่ายทอดผ่านวีดีโอที่มีความยาวกว่า 31 นาทีนี้ ก็จะเป็นว่า เรย์มองเศรษฐกิจเป็นเสมือนเครื่องจักรตัวหนึ่ง โดยใช้หลักการของเศรษฐศาสตร์มหภาคมาจับ แต่ทว่าการถ่ายทอดนั้นกลายเป็นไล่มุมคนละแบบกับตำราทางเศรษฐศาสตร์หรือการเงินที่หลาย ๆ คนเคยเรียนมา เพราะ โดยทั่วไป เมื่อพูดว่าเศรษฐศาสตร์ หลายคนจะคิดว่ามันเป็นภาพแบบ Top-down แต่สำหรับเรย์ มันกลับเป็นภาพแบบ bottom-up ที่เน้นในเรื่องของการใช้จ่ายส่วนบุคคลก่อน (Individual Transactions) เนื่องจากว่า นั่นเป็นจุดที่ทำให้เข้าใจ demand อย่างแท้จริง เนื่องจากทุก ๆ การเปลี่ยนแปลงของกิจกรรมในด้านเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนแปลงของราคาในตลาดการเงิน ล้วนมีต้นเหตุมาจากเงิน (money) และเครดิต (credit)
Investment strategies
กลยุทธ์ที่เรย์ใช้เรียกว่า “Pure Alpha strategy” ที่กระจายการลงทุนใน asset classes ที่แตกต่างกัน และลงทุนในตลาดที่มีสภาพแวดล้อมแตกต่างกันด้วย หลังจากที่ได้แนวคิดและหลักการเลือกจากปัจจัยความแตกต่างหลัก 2 อย่างแล้ว เขายังมีใช้ quant models ในการเข้ามาคำนวณและคาดการณ์อัตราผลตอบแทนด้วย
รูปที่ 2 ภาพแสดงอัตราผลตอบแทนรายปีของ Bridgewater Pure Alpha
Source: http://www.valuewalk.com/2015/06/ray-dalio-investment-strategies/
แต่ Bridgewater ไม่ได้หยุดแค่นั้น การพัฒนากลยุทธ์ยังคงดำเนินต่อไปจนเกิดเป็น “Innovative Investment Strategies” ที่แยกตัว Alpha และ Beta ออกจากกัน โดยที่ค่า Beta หมายถึง ค่า risk/reward ของ portfolio ในขณะที่ค่า Alpha หมายถึง ผลตอบแทนส่วนเกินหรือผลกำไรที่เกิดขึ้น
ในอดีต ถ้าไปดูกลยุทธ์การเทรดที่เป็นแบบ Pure Alpha ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นกลยุทธ์พื้นฐานแบบดั้งเดิมของเฮดฟันด์ ที่เลือกไปเลยว่าการเคลื่อนไหวของสินทรัพย์ทางการเงินไม่ว่าจะเป็นหุ้น พันธบัตร สินค้าโภคภัณฑ์ หรือค่าเงิน จะไปในทิศทางไหนมากกว่ากันระหว่างขึ้นกับลง (bets on the direction) โดยใช้ Macroeconomic Trends
กลยุทธ์ถัดมา มีชื่อว่า “The All Seasons portfolio” หัวใจหลักอยู่ที่การกระจายการลงทุนและการลงทุนอยู่ในตลาดอย่างยาวนาน สำหรับการกระจายการลงทุนนั้น เขาได้ใช้สัดส่วนอย่างง่าย โดยกำหนดให้มีการลงทุนในหุ้น 30%, ลงทุนในพันธบัตรระยะยาว 40%, พันธบัตรระยะปานกลาง 15%, ทองคำ 7.5%, และสินค้าโภคภัณฑ์ 7.5%
เรย์บอกว่า มีเพียง 4 อย่างเท่านั้นที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในราคาของสินทรัพย์ทางการเงิน ซึ่งได้แก่
- เงินเฟ้อ (Inflation)
- เงินฝืด (Deflation)
- การขยายตัวของเศรษฐกิจ (Rising economic growth)
- การหดตัวของเศรษฐกิจ (Declining economic growth)
รูปที่ 3 ภาพ All Seasons strategy
Source: https://s3.amazonaws.com/tr-web-v2/images/10/33/16d38235-e3e7-4b3c-afdf-69885fe0ad06/7040001033_d.jpg
หลังจากที่จัดสรรสัดส่วนได้แล้ว ก็ต้องมาดูต่อว่า All Seasons ประกอบด้วยอะไรบ้าง โดยหลัก ๆ มีเพียง 4 Seasons นั่นคือ
- Higher than expected inflation (rising prices)
- Lower than expected inflation (or deflation)
- Higher than expected economic growth
- Lower than expected economic growth
จาก 4 Seasons สามารถสรุปสินทรัพย์การลงทุนได้ดังนี้
- หากอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดไว้ ให้ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ ทองคำ และพันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อ
- หากอัตราเงินเฟ้อจะลดลงมากกว่าที่คาดไว้หรือเกิดภาวะเงินฝืด ให้ลงทุนในตั๋วเงินคลังและหุ้น
- หากการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงกว่าที่คาดไว้ ให้ลงทุนในหุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ ทองคำ และหุ้นกู้
- หากเศรษฐกิจเติบโตน้อยกว่าที่คาดไว้ ให้ลงทุนใน ตั๋วเงินคลัง และพันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อ
รูปที่ 4 ภาพ Value-Based Portfolio Design
Source: http://www.permacultureinvestor.com/value-based-portfolio-design/
นอกเหนือจากการกระจายการลงทุนที่ดี โดยยึดแนวคิดจากความเข้าใจทางด้านเศรษฐศาสตร์แล้ว ก็ยังมีเรื่องของระยะเวลาในการถือครองอีกด้วย เนื่องจากว่า The All Seasons portfolio เป็นกลยุทธ์การลงทุนระยะยาว และเมื่อกลับมาย้อนดูอัตราผลตอบแทนที่ได้รับ เมื่อลงทุนตามกลยุทธ์ ก็จะเห็นว่ามีอัตราผลตอบแทนโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 10% ต่อปี ตลอดช่วงระยะเวลา 40 ปี นับตั้งแต่ปี 1972 ถึง 2013
รูปที่ 5 ภาพแสดงอัตราผลตอบแทนต่อปีของ All Seasons portfolio
Source: Portfolio Visualizer
ดังนั้น หากใครชื่นชอบการลงทุนระยะยาว และคาดหวังผลตอบแทนที่สูง การเลือกศึกษาแนวทางการลงทุนของเรย์ ดาลิโอ น่าจะเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ได้ดีที่สุดเลยนะคะ