หลังจากที่ดอยซ์แบงก์ (Deutsche Bank) ธนาคารยักษ์ใหญ่อันดับ 1 ของประเทศเยอรมัน ประกาศผลการดำเนินที่ขาดทุนกว่า 6.8 พันล้านยูโรในปีก่อน ก็ส่งผลให้ราคาหุ้นร่วงลงมารุนแรง และสร้างความกังวลให้กับภาคธนาคารมากขึ้น โดยมีสาเหตุหลักของการขาดทุนจำนวนมาก จากการสำรองเงิน สำหรับชำระค่าเสียหายทางคดี 5.2 พันล้านยูโร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการบิดเบือนดอกเบี้ย การเลี่ยงภาษี และการฟอกเงิน
เมื่อขาดทุนสูงมาก จึงมีความเสี่ยงที่ “อาจจะ” ไม่สามารถ ทำการจ่ายดอกเบี้ยให้ Contingent Convertible Bond หรือ CoCo Bond ได้ ซึ่ง CoCo Bond เป็นหุ้นกู้แปลงสภาพแบบมีเงื่อนไข และยังนับเป็นเงินกองทุนขั้นที่ 1 ของธนาคาร (tier-1 capital) ทำให้ Moody’s ปรับลดอันดับเครดิตจาก A3 เป็น Baa1 เมื่อวันที่ 26 มีนาคมที่ผ่านมา ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ ดอยซ์แบงก์ประกาศซื้อคืนตราสารหนี้ของตนเองมูลค่า 5,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อตลาด ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ แต่ทว่าสถานการณ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบของธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) กลับกลายเป็นตัวฉุด ที่ทำให้ดอยซ์แบงก์ต้องแบกรับภาระมากขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของธนาคารเป็นอย่างมาก
นั่นทำให้ราคาหุ้นของ Deutsche Bank AG ปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่อง และสิ่งที่ต้องจับตามองให้ดี ก็คือว่าหากบริษัทไม่มีความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาคงหนีไม่พ้นการลดลงของราคาหุ้น และเมื่อราคาหุ้นตกลงจนถึงขั้นที่กำหนดตามเงื่อนไขของ CoCo Bond ก็จะถูกบังคับการแปลงสภาพจากหุ้นกู้ ไปเป็นหุ้นสามัญโดยอัตโนมัติ
และหลังจากที่มีการแปลงสภาพงบแสดงฐานะการเงินของบริษัทจะเปลี่ยนไป คือ จำนวนหนี้ของบริษัทจะลดลงในขณะที่จำนวนหุ้นสามัญจะเพิ่มขึ้น .. ในอดีตหุ้นกู้แปลงสภาพจะได้รับความนิยมมาก เพราะ ได้รับดอกเบี้ยจำนวนหนึ่ง และเมื่อแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญ ซึ่งจะเกิดขึ้นในกรณีที่เศรษฐกิจดี ก็จะยังมีสิทธิได้รับเงินปันผลอีก แต่สำหรับปัจจุบันนี้ ภาพนั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว นอกจากจะได้รับดอกเบี้ยที่ต่ำมาก ๆ ก่อนถูกแปลงสภาพ .. ภายหลังจากถูกบังคับแปลงสภาพ ก็ยังต้องมารับความเสี่ยงทั้งจากการที่จะไม่ได้รับเงินปันผล เพราะ ผลการดำเนินงานแย่ และผลกระต่อจากการลดลงของสัดส่วนการถือหุ้น (Dilution Effect) ซึ่งหากมองในภาพรวมแล้ว นักลงทุนคงไม่ปลื้มเป็นแน่
ส่วนสถานการณ์ล่าสุดนั้น Moody’s ยังคงเดินหน้าปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน ลงไปทีเดียวถึง 2 ขั้นด้วยกัน กลายเป็นระดับ Baa2 ซึ่งเป็นระดับรองสุดท้าย ก่อนที่จะหลุดออกจากระดับ Investment Grade หรือเป็นระดับที่สูงกว่า Junk เพียง 2 ขั้น ในวันที่ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมา นับว่าเป็นระดับที่ดูไม่ดีเท่าไหร่นัก สำหรับธนาคารยักษ์ใหญ่ของโลก