สิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อเราเป็นผู้ที่มีเงินได้ในระหว่างปีที่ผ่านมาคือ “การเสียภาษี” และเมื่อครบ 1 ปีภาษี ประชาชนที่มีเงินได้ มีหน้าที่ในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ สำหรับปีภาษี 2566 จะมีรายละเอียดและวิธีคำนวณภาษี รวมถึงลดหย่อนอะไรได้บ้าง FINNOMENA สรุปมาให้คุณแล้ว!
เลือกลงทุนกองทุนประหยัดภาษีทั้ง SSF และ RMF จากหลากหลาย บลจ. บนแพลตฟอร์มการลงทุนที่เป็นกลาง ดูกองทุนแนะนำ คลิก https://finno.me/tax-saving-fund-ws
บุคคลธรรมดาต้องยื่นแบบภาษีเมื่อไร?
สำหรับมนุษย์เงินเดือนที่มีเงินได้ ปกติการยื่นแบบแสดงรายการ จะยื่นปีละ 1 ครั้ง (ยื่นแบบฯ ภายในวันที่ 31 มีนาคม ของปีถัดไป) แต่ถ้าเงินได้บางลักษณะ เช่น การให้เช่าทรัพย์สิน เงินได้จากวิชาชีพอิสระ เงินได้จากการรับเหมา เงินได้จากธุรกิจ การพาณิชย์ เป็นต้น จะต้องยื่นแบบฯ ตอนกลางปี (สำหรับเงินได้ที่เกิดขึ้นใน 6 เดือนแรก ภายในเดือนกันยายนของทุกปี)
บุคคลธรรมดาต้องมีเงินได้เท่าไร ถึงจะต้องเสียภาษี
เกณฑ์เงินได้พึงประเมินขั้นต่ำที่ผู้มีเงินได้ “ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษี” แบ่งเป็นสำหรับคนโสดและคนที่สมรสแล้ว
หลักการคำนวณภาษี แบบสรุปสั้น ๆ คือ
ภาษีที่ต้องจ่าย = เงินได้สุทธิ x อัตราภาษี
โดยเงินได้สุทธิ สามารถหาได้จากการนำรายได้ทั้งหมดมารวมกัน พร้อมหาค่าลดหย่อนต่าง ๆ (เช่น ค่าใช้จ่าย และค่าลดหย่อน) และนำมาหักออกจากรายได้ทั้งหมด เหลือเท่าไรคือเงินได้สุทธิที่จะนำไปคำนวณภาษีแบบขั้นบันได
เงินได้สุทธิ = เงินได้ – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน
วิธีคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสิ้นปี
การคำนวณภาษีให้ทำเป็น 3 ขั้นตอน คือ
ขั้นตอนที่หนึ่ง
คำนวณหาจำนวนภาษีตาม วิธีคิดอัตราภาษีเงินได้แบบขั้นบันได
อัตราภาษีเงินได้ แบบขั้นบันได
- เงินได้สุทธิ 0 – 150,000 บาท (อัตราภาษี 0% หรือได้รับการยกเว้นภาษี)
ภาษี = 0 - เงินได้สุทธิ 150,001 – 300,000 บาท (อัตราภาษี 5%)
ภาษี = (เงินได้สุทธิ – 150,000) x5% - เงินได้สุทธิ 300,001 – 500,000 บาท (อัตราภาษี 10%)
ภาษี = [ (เงินได้สุทธิ – 300,000) x10% ] + 7,500 - เงินได้สุทธิ 500,001 – 750,000 บาท (อัตราภาษี 15%)
ภาษี = [ (เงินได้สุทธิ – 500,000) x15% ] + 27,500 - เงินได้สุทธิ 750,001 – 1,000,000 (อัตราภาษี 20%)
ภาษี = [ (เงินได้สุทธิ – 750,000) x20% ] + 65,000 - เงินได้สุทธิ 1,000,001 – 2,000,000 บาท (อัตราภาษี 25%)
ภาษี = [ (เงินได้สุทธิ – 1,000,000) x25% ] + 115,000 - เงินได้สุทธิ 2,000,001 – 5,000,000 บาท (อัตราภาษี 30%)
ภาษี = [ (เงินได้สุทธิ – 2,000,000) x30% ] + 365,000 - เงินได้สุทธิมากกว่า 5 ล้านบาท (อัตราภาษี 35%)
ภาษี = [ (เงินได้สุทธิ – 5,000,000) x35% ] + 1,265,000
ขั้นตอนที่สอง
กรณีที่จะต้องคำนวณภาษีตามวิธีคิดแบบเหมา คือต่อเมื่อมีรายได้ทางอื่นนอกเหนือจากเงินได้ประเภทที่ 1 หรือเงินเดือน หากรายได้จากทางอื่นทั้งหมดมีจำนวนรวมกันตั้งแต่ 1,000,000 บาทขึ้นไป ให้คำนวณในอัตราร้อยละ 0.5 ของยอดเงินได้พึงประเมิน
ภาษีแบบเหมา = (เงินได้ทุกประเภท – เงินเดือน) x 0.005
โดยวิธีนี้มีข้อควรระวังคือ
- จะคำนวณจากรายได้ทางอื่น ๆ ทุกทางยกเว้นเงินเดือน
- หากคำนวณด้วยวิธีคิดแบบเหมาแล้ว มีภาษีที่ต้องเสียทั้งสิ้นไม่เกิน 5,000 บาท จะได้รับการยกเว้นภาษีในวิธีนี้
ขั้นตอนที่สาม
เปรียบเทียบและสรุป โดยให้เทียบกันระหว่าง 2 วิธีนี้ คือ วิธีคิดแบบขั้นบันได กับ วิธีคิดแบบเหมา โดยวิธีใดคำนวณแล้วเสียภาษีสูงกว่า ให้เลือกเสียภาษีตามวิธีนั้น
ลดหย่อนภาษีจากอะไรได้บ้าง?
กลุ่มที่ 1 ค่าลดหย่อนพื้นฐาน
- ค่าลดหย่อนส่วนตัว
- ค่าลดหย่อนคู่สมรส
- ค่าลดหย่อนบุตร
- ค่าฝากครรภ์และทำคลอดบุตร
- ค่าลดหย่อนบิดามารดา
- ค่าลดหย่อนผู้พิการหรือทุพพลภาพ
กลุ่มที่ 2 ค่าลดหย่อน/ยกเว้น ด้านการออมและการลงทุน
- เงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
- เงินสะสมกองทุน กบข. และกองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน
- เงินสะสมกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.)
- เงินสมทบกองทุนประกันสังคม
- เบี้ยประกันชีวิต
- เบี้ยประกันสุขภาพ
- เบี้ยประกันสุขภาพบิดามารดา
- เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ
- ค่าซื้อหน่วยลงทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)
- ค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF)
- ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อ เช่าซื้อ หรือสร้างอาคารที่อยู่อาศัย
- เงินลงทุนธุรกิจ Social Enterprise (วิสาหกิจเพื่อสังคม)
กลุ่มที่ 3 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากนโยบายภาครัฐ
- ค่าลดหย่อนพิเศษในปีภาษี เช่น โครงการช้อปดีมีคืน 2566
กลุ่มที่ 4 ค่าลดหย่อนเพื่อบริจาค
- เงินบริจาคทั่วไป
- เงินบริจาคเพื่อสนับสนุนการศึกษา การกีฬา การพัฒนาสังคม สาธารณประโยชน์ และสถานพยาบาลรัฐ
- เงินบริจาคพรรคการเมือง
อ่านเพิ่มเติม ลดหย่อนภาษี: ทุกเรื่องที่ต้องรู้ รวบรวมมาให้แล้ว!
วางแผนลดหย่อนภาษีจากการออมและการลงทุน
หากเราพอจะรู้แล้วว่า เงินได้ของเราในแต่ละปีอยู่ที่ประมาณเท่าไร อยู่ขั้นบันไดไหนและต้องเสียภาษีในอัตราภาษีกี่เปอร์เซ็นต์ จะสามารถนำมาวางแผนลดหย่อนได้ ซึ่งเป็นส่วนที่ไม่ควรจะเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ แบ่งเป็นประเภทใหญ่ ๆ ที่สามารถวางแผนไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ได้ดังนี้
ลดหย่อนภาษีด้วยเบี้ยประกัน
จากประกันชีวิต ประกันแบบสะสมทรัพย์ ประกันสุขภาพตัวเองและบิดามารดา ประกันชีวิตแบบบำนาญ โดยแต่ละประเภทจะลดหย่อนได้ไม่เท่ากัน
ลดหย่อนภาษีด้วยกองทุน
กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) โดยกองทุนแต่ละแบบจะลดหย่อนได้แบบละไม่เกิน 30% ของรายได้รวมทั้งปี เช็กได้จาก เครื่องคำนวณ SSF RMF
หากต้องการเปรียบเทียบดูความแตกต่างระหว่างการลดหย่อนภาษีจากประกันและกองทุนรวม ว่าแบบไหนเหมาะกับเราและลดหย่อนได้เท่าไรบ้าง แนะนำให้อ่านบทความนี้เพิ่มเติม ประกัน VS กองทุนรวม
สำหรับใครที่ลงทุนในหุ้น และได้รับเงินปันผลด้วย แนะนำให้อ่านบทความภาษีเงินปันผลเพิ่มเติม ได้ที่
เครดิตภาษีเงินปันผล คืออะไร? แล้วเราต้องยื่นไหม? I TAX เพื่อนๆ EP4
หากพร้อมแล้วสามารถเข้าไปยื่นภาษีแบบออนไลน์ ได้ที่ https://rdserver.rd.go.th
รับบริการผู้แนะนำการลงทุนกองภาษีส่วนตัวจาก FINNOMENA ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย
👉 ลงทะเบียน คลิก >>> https://finno.me/taxplanner-services
FINNOMENA Admin