ผลประกอบการของตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 4 ปี 2564 จากการรวบรวมจนถึงวันที่ 1 มี.ค. 65 มีการรายงานออกมาแล้ว 560 บริษัทหรือคิดเป็นสัดส่วน 95% ของ Market Cap รวม ทำกำไรสุทธิรวมได้อยู่ที่ 2.74 แสนล้านบาท +15% QoQ และ +50% YoY ส่งผลให้ผลประกอบการรวมทั้งปีสามารถทำได้ถึง 1.05 ล้านล้านบาท
กำไรไตรมาส 4 ที่ 2.74 แสนล้านบาท เป็นผลประกอบการไตรมาส 4 ที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปีอื่น ๆ และสูงเป็นอันดับ 3 เมื่อเทียบกับผลประกอบการทุก ๆ ไตรมาสที่ผ่านมา กระนั้นผลประกอบการปี 2564 ที่ 1.05 ล้านล้านบาท ถือเป็นกำไรรายปีที่สูงเป็นประวัติการณ์ของตลาดหุ้นไทย
นอกจากภาพรวมการดำเนินของบริษัทต่าง ๆ จะดีขึ้นแล้ว การที่กำไรตลาดมากเป็นประวัติการณ์ครั้งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่ 1-3 ปีที่ผ่านมามีบริษัทขนาดใหญ่เข้ามาจดทะเบียนเพิ่มในตลาดหุ้นไทยกันเป็นจำนวนมากเช่น AWC CRC SCGP OR เป็นต้น
กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีผลประกอบการไตรมาส 4 สูงที่สุด 10 อันดับแรกคือ คือ พลังงาน 7.16 หมื่นล้านบาท รองลงมาเป็น ธนาคารฯ 4.46 หมื่นล้านบาท ค้าปลีก 2.61 หมื่นล้านบาท อสังหาฯ 1.91 หมื่นล้านบาท สื่อสาร 1.91 หมื่นล้านบาท วัสดุก่อสร้าง 1.34 หมื่นล้านบาท โรงพยาบาล 1.34 หมื่นล้านบาท อาหารและเครื่องดื่ม 1.26 หมื่นล้านบาท ปิโตรฯ 1.16 หมื่นล้านบาท การเงิน 8.88 พันล้านบาท
กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีผลประกอบการฟื้นตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันเมือปีก่อน คือ แพคเกจจิ้ง +440% YoY โรงพยาบาล +186% YoY อสังหาฯ +100% YoY ค้าปลีก +97% YoY อาหาร +63% YoY พลังงาน +52% YoY
ผลประกอบการปี 2564 ที่ 1.05 ล้านล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้นที่ 90 บาทต่อหุ้น +69% YoY สำหรับในปี 2565 คาดว่ากำไรตลาดจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากโมเมนตั้มการฟื้นตัวหลังจาก COVID-19 ที่กดดันผลประกอบการตลาดมาตลอดตั้งแต่ปี 2563 และหนักหน่วงที่สุดคือไตรมาส 3 ของปี 2564 ก่อนที่ผลประกอบการงวด 4Q64 จะแสดงภาพการเริ่มฟื้นตัวได้ชัดเจน
ประเมินผลประกอบการปี 2565 ตลาดน่าจะมีกำไรสุทธิขึ้นมาเป็น 1.12 ล้านล้านบาทคือเป็น EPS ที่ 96 บาทต่อหุ้น หรือ EPS Growth +6% โดยมีความเป็นไปได้สูงกำไรในงวด 1Q65 จะขึ้น Peak ทำกำไรมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3 แสนล้านบาท ทั้งจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและกำลังซื้อในประเทศซึ่งส่งผลโดยตรงต่อกลุ่มหุ้น Domestic Consumption ซึ่งเป็นช่วงเวลา High Season ของหลายๆอุตสาหกรรม และจากกลุ่มพลังงานที่จะมีแรงหนุนจากราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นสูง (จากปัญหา Supply ไม่พอกับ Demand และวิกฤติรัสเซีย-ยูเครน) ล่าสุดราคาน้ำมันเฉลี่ย ม.ค.-ก.พ.65 อยู่ที่ 88 เหรียญต่อบาร์เรล +14% QoQ +52% YoY
EPS ปี 2565 มีโอกาสที่จะไปถึง 96 บาทต่อหุ้น ถือว่าดีกว่าที่คาดไว้เดิมที่ 94 บาทต่อหุ้น อย่างไรก็ตาม Valuation ของ SET ปัจจุบันอยู่ในระดับที่ค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับ EPS Growth ในปี 2565 ที่ต่ำเพียง 6% อีกทั้ง Momentum ของกำไรตลาดจะขึ้น Peak เพียงแค่งวด 1Q65 ก่อนจะแผ่วลงใน 2Q-4Q65 ทำให้ยังคงดัชนีเป้าหมายในปีนี้ไว้ที่ 1,786 จุด (PER 18.6 เท่า) ต่อไปตามเดิม
ประกิต สิริวัฒนเกตุ
กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์