สถานการณ์โควิด-19 ดูจะรุนแรงแบบทวีคูณมากขึ้นทุกที จากจำนวนผู้ป่วย 82 รายเมื่อ 14 มี.ค. มาถึงวันนี้ 21 มี.ค. ผู้ป่วยในประเทศพุ่งขึ้นเป็น 322 ราย
การขึ้นแต่ละสัปดาห์จาก 2 เท่ามาเป็น 4 เท่า ในสัปดาห์ที่ผ่านมา นี่มันไม่ใช่การขึ้นแบบทวีคูณ แต่มันคือการพุ่งแบบ exponential ชัดเจน ซึ่งการปรับเพิ่มขึ้นในลักษณะนี้มันสะท้อนว่าเกิดการแพร่ระบาดในสถานชุมนุมใดสถานหนึ่งไปแล้ว และจำนวนผู้ป่วยที่พบจะเป็นลักษณะยอดภูเขาน้ำแข็ง ก่อนที่ส่วนที่ซ่อนอยู่ใต้น้ำซึ่งใหญ่กว่ามาก ๆ จะโผล่ออกมาให้เห็น
รูปแบบการพุ่งขึ้นของผู้ติดเชื้อที่รวดเร็ว มันคล้ายกับ เกาหลีใต้ เบลเยียม สวิส แคนาดา ในช่วงเริ่มขยายวง หากอ้างอิงจากสมการคณิตศาสตร์ที่ใช้ตัวอย่างจากกลุ่มประเทศดังกล่าว จำนวนผู้ป่วยในไทยจะเพิ่มมากกว่า 1 พันคนในอีก 1 สัปดาห์ข้างหน้า และจะทวีเป็นมากกว่า 4 พันคนในสัปดาห์ถัดไป
จากที่ไทยมีอัตราการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยในอัตราที่ช้ามาก ๆ เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ มาในวันนี้เรากำลังจะเดินตามรอยประเทศเหล่านั้นแล้ว อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้โอกาสทองในการควบคุมโรคของเราหายไป
มาตรการที่หน่อมแน้มของรัฐบาล หรือ ความเห็นแก่ตัวของคน (ที่เดินทางไปมาในประเทศเสี่ยง และไม่ยอมกักตัว)
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมเป็นหนึ่งในคนที่ตำหนิมาตรการหน่อมแน้มต่าง ๆ ของรัฐบาล พร้อมทั้งตั้งข้อสงสัยว่า
1. ทำไมเราไม่แบนหรือระงับการเดินทางของคนจากพื้นที่เสี่ยง
2. ทำไมไม่ปิดพื้นที่เสี่ยง ทำไมถึงเพิ่งมาปิดเอาตอนมีเรื่องแล้ว ทั้งสนามมวย สถานบันเทิง สถานศึกษา
3. ทำไมไม่ใช้ พรก.สถานการณ์ฉุกเฉิน และปิดเมือง ปิดประเทศ อย่างน้อย 14 วัน
และคำถามที่ใหญ่ที่สุดคือ รัฐบาลไม่รู้เหรอว่ามีประชาชน (ไม่รู้ส่วนน้อยหรือส่วนมาก) ที่เรียกร้องให้รัฐบาลเด็ดขาด ปิดประเทศ หรือประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อคุมสถานการณ์แบบ เจ็บแต่จบ ไปเลย
ทำไมรัฐบาลยังต้องมาอ้างนู่นนั่นนี่ ไทยยังไม่เข้าระยะที่ 3 เพราะ บลาๆ ให้คนด่ากันทั่วเมือง ก่อให้เกิดวิกฤติความเชื่อมั่นต่อรัฐบาล
แต่เมื่อมาพิจารณาให้ดีแล้ว ผมกลับพบว่ามาตรการที่เด็ดขาด เข้มงวด ไม่ใช่ว่ารัฐบาลไม่อยากทำ แต่ยังไม่สามารถทำได้ต่างหาก ทั้งด้านการแบนระงับการเดินทางของคนจากพื้นที่เสี่ยง ซึ่งทำได้แค่บางประเทศ ขณะที่อีกหลาย ๆ ประเทศที่ผู้ป่วยเพิ่งเริ่มทวีเพิ่มขึ้น ยังไม่สามารถเร่งแบนได้ นอกจากเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแล้ว ยังต้องมีเวลาให้ประชาชนปรับแผนทั้งคนไทยที่ยังอยู่ในประเทศนั้น ๆ และที่ยังต้องติดต่อธุระระหว่างกัน
หากสังเกตดี ๆ เหมือนรัฐบาลพยายามดำเนินการไปตามขั้นตอน แม้จะยังไม่ได้ปิดประเทศ แต่มาตรการเข้มต่าง ๆ ที่รัฐบาลกำหนด ไม่ว่าจะเป็นการขอใบรับแรงแพทย์ การขอวีซ่าผ่านสถานฑูต การคัดกรอง การกักตัว ทุกอย่างล้วนสร้างความยุ่งยากให้กับคนเดินทาง ทำให้สนามบินนานาชาติ ทั้ง สุวรรณภูมิและดอนเมืองทุกวันนี้ มีสภาพใกล้คำว่า “ร้าง” อยู่แล้ว
การปิดเมือง ตอนนี้รัฐบาลใช้วิธีการทยอยปิด โดยให้อำนาจการตัดสินใจอยู่ที่ผู้ว่าราชการของแต่ละจังหวัด ผมประเมินว่าในไม่ช้า 1-2 สัปดาห์เชื่อว่าจะมีจังหวัดที่ปิดเมืองเกินครึ่งหนึ่งของประเทศแน่นอน ข้อดีของการไล่ปิดทีละจังหวัดจะเป็นการส่งสัญญาณให้ประชาชนเตรียมตัว ซึ่งวิธีการนี้ย่อมดีกว่ารัฐบาลสั่งปิดทั้งประเทศแบบสายฟ้าแลบทีเดียว แบบนั้นอาจสร้างความโกลาหลได้
คนไทยขี้ตื่นอยู่แล้ว ทุกวันนี้ไม่ต้องรอรัฐบาลประกาศสภาวะฉุกเฉิน ก็แห่กันกักตุนอาหารกันเต็มที่ ผมเองก็ไปเดินร้านค้าปลีกเพื่อซื้อของเข้าบ้านเกือบทุกวัน เห็นถึงสภาพสถานการณ์ผ่านชั้นวางสินค้าได้เป็นอย่างดี วันไหนที่พบผู้ป่วยทวีคูณ วันนั้นข้าวปลาอาหารแห้งก็เตรียมหมด
และที่สำคัญการตัดสินใจไม่ประกาศระยะที่ 3 และยังไม่ประกาศใช้กฎหมายสถานการณ์ฉุกเฉิน ผมคิดว่ารัฐบาลกำลังต้องการเวลาเตรียมตัวทั้ง โรงพยาบาล เตียง เครื่องมือการแพทย์ เวชภัณฑ์ต่าง ๆ รวมไปถึงการเตรียมสถานที่รักษาพยาบาลชั่วคราว ทั้งโรงแรม โรงเรียน เพื่อให้พร้อมทันทีเมื่อไทยประกาศสู่ระยะที่ 3 ซึ่งก็ดีกว่ารีบร้อนประกาศท่ามกลางความไม่พร้อมอาจยิ่งสร้างปัญหาและความวุ่นวายที่รุนแรง
มาถึงวันนี้ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะตำหนิกัน วันนี้มีแต่ต้องร่วมมือร่วมใจ และผมขอเอาใจช่วยให้รัฐบาลแก้ปัญหาและพาประเทศผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปให้ได้
ขอพระเจ้าอวยพรทุกคน
ประกิต สิริวัฒนเกตุ