ย้อนกลับ
ซื้อ
Mr.Messenger
หุ้นเวียดนาม
4 เม.ย. 68
สรุปความเห็น

อัปเดตล่าสุด 4 เม.ย. 68

โอกาส "เก็งกำไรระยะสั้น" หรือ "แบ่งถัวเฉลี่ยสะสมระยะยาว" ในตลาดหุ้นเวียดนาม หลังปรับฐานลงมาลึกกว่า 10% ซึ่งมองว่าเป็นแรงขายที่รุนแรงเกินไป

Mr.Messenger Call อัปเดตมุมมองหุ้นเวียดนาม หลังเจอแรงขายที่มากผิดปกติ ขณะที่ผลกระทบของ Reciprocal Tariff ยังไม่ชัดเจน จึงมองเป็นจังหวะเข้าเก็งกำไรระยะสั้น หรือแบ่งถัวเฉลี่ยสะสมระยะยาว ในกองทุน PRINCIPAL VNEQ-A และ KKP VGF-UI*


2 วันมานี้ (3-4 เมษายน 2025) จริง ๆ ทุกดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกปรับฐานรุนแรงกันหมด แต่มี 1 ตลาดที่นักลงทุนไทยเราหนีจากตลาดหุ้นไทยไปลงทุนที่นี่ในสัดส่วนไม่น้อยคือ ตลาดหุ้นเวียดนาม


ล่าสุดเวียดนามเจอ Reciprocal Tariff ของทรัมป์ เต็ม ๆ โดยจะถูกจัดเก็บในอัตราที่สูงถึง 46% เรียกว่ามากที่สุดในฝั่งอาเซียนเราเลยก็ว่าได้ และตลาดหุ้นเวียดนามก็ตอบรับด้วย Panic Sell 2 วันมานี้ ลบไป -10% ถือว่าเยอะมากที่สุดนับตั้งแต่เหตุการณ์โควิด 2020 เลยทีเดียว


กราฟดัชนี VN30 (timeframe day)

finnomena-opportunity-hub

Source: TradingView as of 4/4/2025


คำถาม 1 : ทำไมเวียดนาม โดนภาษีตอบโต้แรงกว่าประเทศอื่น ?


เวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ อย่างมาก (ในปี 2023 การเกินดุลการค้าของเวียดนามกับสหรัฐฯ อยู่ที่ประมาณ 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ถือว่าเป็นประเทศที่เกินดุลกับสหรัฐฯ มากที่สุดอันดับ 4 เป็นรองแค่ จีน แคนาดา และเม็กซิโก ทำให้เวียดนามตกเป็นเป้าหมายของนโยบายนี้


คำถาม 2 : ผลกระทบต่อตลาดหุ้นเวียดนามในระยะยาว


การส่งออกที่ลดลง: สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกหลักของเวียดนาม (คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20-25% ของการส่งออกทั้งหมด) หากสหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากเวียดนามเพิ่มขึ้น อาจทำให้บริษัทส่งออกของเวียดนาม เช่น กลุ่มสิ่งทอ อิเล็กทรอนิกส์ และรองเท้า มีรายได้ลดลง และผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดที่พึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐลดลง ส่งผลต่อราคาหุ้น


คำถามที่ 3 : รัฐบาล และบริษัทเอกชนในเวียดนาม จะแก้เกมส์ยังไง


ที่ทำไปแล้วก็มี 1.) การที่รัฐบาลเวียดนามได้ประกาศลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ในหลายประเภทเพื่อแสดงท่าทีที่เป็นมิตรและลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐ เช่น

  • ลดภาษีนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จาก 5% เหลือ 2%
  • ลดภาษีนำเข้ารถยนต์จากช่วง 45-64% เหลือ 32%
  • ลดภาษีนำเข้าเอทานอลจาก 10% เหลือ 5%


2.) รัฐบาลเวียดนามได้ส่งรัฐมนตรีกระทรวงการค้า เหงียน ฮ่อง เดียน (Nguyen Hong Dien) เดินทางไปสหรัฐฯ ในเดือนมีนาคม 2025 เพื่อเจรจากับเจ้าหน้าที่การค้าและพลังงานของสหรัฐฯ โดยมีการลงนามข้อตกลงเบื้องต้น (MoU) กับบริษัทสหรัฐ เช่น บริษัท PetroVietnam Power ได้ลงนามข้อตกลงเบื้องต้นกับ GE Vernova เพื่อจัดหาอุปกรณ์และบริการสำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซ และมีการลงนามข้อตกลงเพิ่มเติมสำหรับการนำเข้าอุปกรณ์พลังงาน เอทานอล และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ LNG จากสหรัฐฯ


3.) รัฐบาลเวียดนามได้อนุญาตให้ SpaceX ของอีลอน มัสก์ ซึ่งเป็นพันธมิตรใกล้ชิดของทรัมป์ เปิดให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม Starlink ในเวียดนามแบบทดลองจนถึงปี 2030 โดยอนุญาตให้มีลูกค้าได้ถึง 600,000 ราย


4.) รัฐบาลเวียดนามได้เจรจากับบริษัทด้านกลาโหมของสหรัฐฯ เช่น Lockheed Martin เพื่อซื้อเครื่องบินขนส่งทางทหาร C-130 Hercules


5.) วางตัวให้สหรัฐฯ เห็นว่า 'เป็นกลาง' ด้วยการพยายามจัดการปัญหาการค้าที่เกี่ยวข้องกับจีน โดยในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 เวียดนามได้กำหนดภาษีต่อต้านการทุ่มตลาดชั่วคราวสำหรับผลิตภัณฑ์เหล็กจากจีน เพื่อแสดงถึงความพยายามในการควบคุมการค้าที่อาจละเมิดกฎของสหรัฐฯ


6.) ก่อนปธน. ทรัมป์ ประกาศไม่กี่ชั่วโมง เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2025 รองนายกรัฐมนตรี โฮ ดุ๊ก ฟก (Ho Duc Phoc) พร้อมด้วยผู้บริหารจากบริษัท เช่น Vietnam Airlines และ VietJet ได้เดินทางไปสหรัฐฯ เพื่อเจรจากับทางการสหรัฐฯ และบริษัทอเมริกัน เช่น Boeing และธนาคารของสหรัฐ เพื่อหาทางลดผลกระทบจากภาษี


7) เมื่อวานนี้ (3 เมษายน 2025) รัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า เหงียน ฮ่อง เดียน ได้ส่งโน้ตทางการทูตไปยังทางการสหรัฐเพื่อขอให้ชะลอการบังคับใช้ภาษีตอบโต้ และแสดงความเสียใจต่อนโยบายดังกล่าว โดยหวังว่าสหรัฐจะพิจารณาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสองประเทศ


ความเสี่ยงที่ยังคงมีอยู่ที่นักลงทุนต้องประเมินให้ดี คือ


สงครามการค้าจีน-สหรัฐ: หากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ทวีความรุนแรงขึ้น เวียดนามอาจได้รับผลกระทบทางอ้อม เนื่องจากจีนเป็นคู่ค้าสำคัญของเวียดนาม (ทั้งในแง่การนำเข้าและส่งออก)


ความผันผวนของตลาดโลก: นโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ อาจทำให้เกิดความไม่แน่นอนในตลาดการเงินโลก ซึ่งจะส่งผลต่อกระแสเงินทุนไหลเข้า-ไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) รวมถึงเวียดนาม


จุดแข็งของเวียดนามเอง และของตลาดหุ้นเวียดนาม


Valuation ที่น่าสนใจ: หุ้นใน VN30 มักมี P/E Ratio (Price-to-Earnings) ต่ำเมื่อเทียบกับตลาดอื่นในอาเซียน เช่น ประเทศไทยหรือสิงคโปร์ ทำให้ดึงดูดนักลงทุนที่มองหาการเติบโตในราคาที่สมเหตุสมผล


โครงสร้างประชากร: เวียดนามมีประชากรหนุ่มสาวจำนวนมาก (อายุเฉลี่ยประมาณ 32 ปี) ซึ่งสนับสนุนการบริโภคภายในประเทศและการเติบโตของภาคบริการ


ความสัมพันธ์อันดีระหว่างรัฐบาลเวียดนามกับผู้ประกอบการชาวสหรัฐฯ: ที่ย้ายฐานการผลิตมาที่เวียดนาม อาจจะช่วยให้การเจรจาต่อรองดีขึ้น และลดผลกระทบได้ดีขึ้น


มุมมองทางกราฟเทคนิค

  • VN30 Index มีแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) ตั้งแต่ต้นปี 2024 โดยเคลื่อนตัวอยู่ในช่องแนวโน้มขาขึ้น (Ascending Channel) ที่มีเส้นแนวรับ (Support) และแนวต้าน (Resistance) ชัดเจน
  • ราคาได้ปรับตัวขึ้นจากระดับต่ำสุดที่ประมาณ 1,034 จุด (ตุลาคม 2023) ไปแตะจุดสูงสุดที่ 1,400 จุดในช่วงต้นปี 2025
  • อย่างไรก็ตาม ล่าสุด (วันที่ 2-3 เมษายน 2025) ราคาได้ปรับตัวลงอย่างรุนแรงจาก 1,400 จุด มาที่ 1,225.28 จุด คิดเป็นการปรับตัวลง -10% ทีเดียว
  • RSI (14) อยู่ที่ 17.04 ซึ่งอยู่ในโซน Oversold (ต่ำกว่า 30) อย่างมาก แสดงถึงการขายที่มากเกินไป (Over-sold Condition) ซึ่งอาจนำไปสู่การฟื้นตัว (Rebound) ในระยะสั้น แต่ก็บ่งบอกถึงความกดดันในการขายที่รุนแรง


แนวรับ (Support)

  • แนวรับแรก: 1,217 จุด
  • หากหลุด 1,160 จุด อาจลงไปทดสอบ 1,120 จุด ซึ่งเป็นแนวรับสำคัญจากช่วงปลายปี 2023


แนวต้าน (Resistance)

  • แนวต้านแรก: 1,260.51 (ซึ่งคือ Fibonacci Retracement 61.8%)
  • แนวต้านถัดไป: 1,322.06 หากกลับไปยืนเหนือ 1,322.06 ได้ อาจมีโอกาสกลับไปทดสอบ 1,400 จุดอีกครั้ง


เมื่อมองจากแรงขายที่มากผิดปกติ ขณะที่ผลกระทบยังไม่ชัด และรัฐบาลทุกประเทศยังมีเวลาเข้าไปเจรจากับรัฐบาลหสรัฐฯ และเห็นความพยายามของรัฐบาลเวียดนามในช่วงที่ผ่านมา มองว่าระดับปัจจุบันของตลาดหุ้นเวียดนาม น่าเข้าเก็งกำไรระยะสั้น หรือ แบ่งถัวเฉลี่ยสะสมในระยะยาว แนะนำกองทุน PRINCIPAL VNEQ-A และกองทุน KKP VGF-UI*


*ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย | กองทุนรวมที่เสนอขายผู้ลงทุนสถานบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ | กองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูงหรือซับซ้อน




PRINCIPAL VNEQ-A


สัดส่วนการลงทุนของกองทุน PRINCIPAL VNEQ-A

finnomena-opportunity-hub

Source: Fund Fact Sheet ของกองทุน PRINCIPAL VNEQ-A as of 30/09/2024


PRINCIPAL VNEQ-A เป็นกองทุนความเสี่ยงสูง (ระดับ 6) มีนโยบายลงทุนในตราสารทุนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หรือมีธุรกิจหลัก ในประเทศเวียดนามที่เชื่อว่ามีศักยภาพในการเติบโตในอนาคต รวมทั้งตราสารทุนอื่นใดที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวข้องและ/หรือที่ได้รับผลประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจ และ/หรือกองทุนรวม โดยปัจจุบันกองทุน PRINCIPAL VNEQ-A ไม่มีการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน


KKP VGF-UI

(ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย | กองทุนรวมที่เสนอขายผู้ลงทุนสถานบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ | กองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูงหรือซับซ้อน) เป็นกองทุนความเสี่ยงสูงมากอย่างมีนัยสำคัญ 8+


สัดส่วนการลงทุนในกองทุนหลักของกองทุน KKP-VGF-UI

finnomena-opportunity-hub

Source: Fund Fact Sheet ของกองทุน KKP VGF-UI as of 30/09/2024


กองทุนหลักของกองทุน KKP VGF-UI* จดทะเบียนในประเทศเวียดนามและมีการบริหารแบบ Active Management ซึ่งสามารถลงทุนในหุ้นรายตัวโดยไม่มีข้อจำกัด Foreign Ownership Limit ทีมบริหารกองทุนเป็นคนเวียดนามช่วยทลายข้อจำกัดด้านภาษาทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลที่มากขึ้น โดยปัจจุบันกองทุน KKP VGF-UI* ไม่มีการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน


กองทุนนี้เป็นกองทุนที่เสนอขายให้ผู้ลงทุนประเภทผู้ลงทุนสถาบันหรือผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ (Ultra-Accredited Investor) ตามคำนิยามของสำนักงาน ก.ล.ต. จึงไม่ถูกจำกัดกรอบนโยบายการลงทุนเช่นเดียวกับกองทุนรวมทั่วไป ดังนั้น กองทุนนี้จึงอาจมีความเสี่ยงสูงหรือมีความซับซ้อนมากกว่ากองทุนที่เสนอขายแก่ผู้ลงทุนทั่วไป และเหมาะกับผู้ลงทุนที่ยอมรับผลขาดทุนและความเสี่ยงระดับสูงได้เท่านั้น ทั้งนี้กองทุนหลักมีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นในประเทศเวียดนาม โดยในกรณีสถานการณ์เชิงลบอย่างมากที่สุดที่อาจเกิดขึ้น (worst case scenario) กองทุนนี้อาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดที่ลงทุนในกองทุนหลักที่เน้นลงทุนในหุ้นในประเทศเวียดนามดังกล่าว ซึ่งจะส่งผลกระทบทางลบต่อการลงทุนของผู้ถือหน่วยลงทุนในกองทุนนี้ โดยผู้ถือหน่วยลงทุนของกองทุนนี้อาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งจำนวนที่ผู้ถือหน่วยลงทุนลงทุนในกองทุนนี้ ทั้งนี้ผู้ลงทุนควรพิจารณาความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องจากการลงทุนในกองทุนนี้อย่างละเอียดและขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้แนะนำการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน


ค่า correlation ของกองทุน PRINCIPAL VNEQ-A และ KKP VGF-UI* เทียบ VN30

finnomena-opportunity-hub

Source: Bloomberg as of 14/11/2024


นักลงทุนที่เหมาะกับคำแนะนำนี้ ระยะสั้นนี้ควร…

  1. เป็นนักลงทุนที่มีเงินสด หรือสภาพคล่องส่วนเกิน และรับความผันผวนได้สูง
  2. ใช้เงินลงทุนในสัดส่วนไม่เกิน 10% ของภาพรวมพอร์ตการลงทุนทั้งหมด
  3. นักลงทุนต้องยอมรับการ Limit Loss หรือ การตัดขาดทุนได้ทันที


ดู Fund Fact Sheet กองทุนแนะนำ

  • PRINCIPAL VNEQ-A
  • KKP VGF-UI (ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย กองทุนรวมที่เสนอขายผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ กองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูงหรือซับซ้อน)


จัดทำโดยบลป.เดฟินิท สำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)




คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299