สี TOA อยู่คู่กับคนไทยมาอย่างยาวนาน และจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีคู่แข่งที่จะมาชิงตำแหน่งเจ้าตลาดสีของไทยไปจาก TOA ได้ วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TOA กันครับ
1) TOA หรือ บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทที่ดำเนินงานมาอย่างยาวนาน โดยเริ่มทำธุรกิจตั้งแต่ปี พ.ศ. 2507 ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สีและสารเคลือบผิว มีมูลค่าตลาดที่เกิน 80,000 ล้านบาท
2) ในปี 2560 TOA มีรายได้รวมที่ 15,825 ล้านบาท และกำไร 1,710 ล้านบาท นับเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 10.8%
3) TOA มีส่วนแบ่งตลาดในตลาดสีของประเทศไทยสูงถึง 48.7% ถือเป็นผู้นำตลาดอย่างแท้จริงในอุตสาหกรรมนี้ สาเหตุที่ TOA สามารถมีส่วนแบ่งตลาดได้สูงขนาดนี้เป็นเพราะมีฐานกำลังการผลิตในไทย ในขณะที่คู่แข่งต้องนำเข้าสีจากต่างประเทศ ทำให้มีต้นทุนค่าขนส่งสูงกว่า
ที่มา: รายงานประจำปี 2560 ของ TOA
4) TOA มีส่วนแบ่งตลาดในตลาดสี AEC อยู่ 13% และในเวียดนาม 10% ซึ่ง TOA มีแผนมากมายที่จะไปลงทุนฐานกำลังการผลิตในประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม) ซึ่งในตลาดเหล่านี้มีกำลังในการเติบโต
ที่มา: รายงานประจำปี 2560 ของ TOA
5) ปัจจุบัน TOA มีกำลังการผลิตสีทั้งหมด 88 ล้านแกลลอนต่อปี และภายในปี 2562 จะมีกำลังการผลิตทั้งหมด 102 ล้านแกลลอนต่อปี โดยในปี 2560 มีอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ 51% หรือเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
6) สัดส่วนการขายของ TOA มาจากในประเทศ 87% และอีก 13% มาจากการขายในต่างประเทศ แต่ในอนาคต TOA คาดการณ์ว่าถ้ากำลังการผลิตใหม่เสร็จจะทำให้สัดส่วนรายได้ต่างประเทศสูงเป็น 28% เพราะกำลังการผลิตใหม่ส่วนใหญ่อยู่ในต่างประเทศ
7) สินค้าของ TOA ถูกแบ่งออกเป็น 3 ประเภท 1) สีทาบ้าน (69% ของรายได้รวม) 2) สีและสารเคลือบผิว (28% ของรายได้รวม) 3) ผลิตภัณฑ์ประเภทอื่น (3% ของรายได้รวม)
8) TOA เน้นขายสินค้าที่เป็นผลิตภัณฑ์เกรดพรีเมียม เนื่องจากสินค้าชนิดนี้ขายได้ในราคาที่แพงกว่า ซึ่งจะมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่า และในปัจจุบัน TOA เคยเล่าว่าตอนนี้ค่าแรงคนแพงขึ้นกว่าเดิม ถ้าซื้อสีที่ดีกว่าเดิมแล้วไม่ต้องเสียแรงทาบ่อย ๆ ก็จะดีกว่าและคุ้มค่ากว่า
9) TOA เป็นผู้นำด้านนวัตกรรมสี ซึ่งได้มีการออกสินค้าใหม่ที่มีนวัตกรรม อย่างเช่นสีที่ไม่มีกลิ่นและไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย สีที่สามารถทาในฤดูฝนได้ ซึ่งโดยปกติเราจะไม่ทาสีในฤดูนี้กันเพราะสีแห้งไม่ทัน
10) ตัววัตถุดิบเป็นต้นทุนถึง 70% ซึ่งวัตถุดิบหลายตัวจะผันผวนกับราคาน้ำมัน ถ้าน้ำมันขึ้น วัตถุดิบเหล่านี้ก็มีแนวโน้มที่จะขึ้นตามไปด้วย ส่งผลต่ออัตรากำไรขั้นต้นของ TOA ตัวอย่างเช่น Titanium Oxide ที่เป็นหนึ่งในวัตถุดิบมีราคาสูงขึ้นมากในปีที่ผ่านมา
ข้อมูลที่เรานำมาฝากกันวันนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่เราหวังว่าจะช่วยประกอบการตัดสินใจของนักลงทุน อย่างไรก็ดี เราแนะนำให้นักลงทุนศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมให้รอบด้าน ก่อนตัดสินใจลงทุนนะครับ
สามารถดูข้อมูลหุ้น TOA เพิ่มเติมได้ที่
https://www.finnomena.com/stock/TOA
ข้อมูลอ้างอิง:
https://www.set.or.th/set/companyprofile.do?symbol=TOA&ssoPageId=4&language=th&country=TH
https://marketdata.set.or.th/mkt/stockquotation.do?symbol=toa&language=th&country=TH
https://www.youtube.com/watch?v=GV5YmwCudIk
https://www.youtube.com/watch?v=pCcLJHo64FU
—————————-
Vithan Minaphinant
Securities Investment Analyst (IA)
ตรวจทานบทความ
คำเตือน
ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้เขียนบทความนี้มิได้รับค่าตอบแทนหรือมีส่วนได้ส่วนเสียกับบริษัทที่กล่าวถึงในบทความนี้แต่อย่างใด | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้