บางครั้งสิ่งที่เราเห็นก็อาจไม่เป็นอย่างที่เราคิด … และหลายครั้งสิ่งที่เราคิดก็ไม่ใช่สิ่งที่เราเห็น … หากอ่านข้อความข้างต้นแล้วยัง งงๆ … ไม่เป็นไรครับ … ผมจะช่วยขยายความให้ …
จริงคือเท็จ เท็จคือจริง … กลยุทธ์แบบนี้ถูกใช้มาเนิ่นนานตั้งแต่การรบสมัยโบราณนานมาแล้ว … แต่บางครั้งมันก็ไม่ใช้กลยุทธ์ซับซ้อนแต่อย่างใด เพียงแต่เหตุการณ์สภาวะแวดล้อมเปลี่ยนไป สถานการณ์จึงเปลี่ยนไปเอง โดยไม่ได้มีใครวางแผนอะไรเอาไว้ …
ผมเกริ่นมาเสียยาวเพื่อจะดึงเข้าสู่แนวคิดของ “หุ้นซ่อนกำไร” … หุ้นซ่อนกำไรคืออะไร? สำหรับผมแล้วหุ้นซ่อนกำไรคือหุ้นที่ยังไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงออกมา คือ มีกำไรที่เรามองไม่เห็นซ่อนอยู่ แต่จะเป็นเพราะกำไรโผล่จากสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป หรือเป็นเพราะความต้องการซ่อนไพ่ในมือของเจ้าของ จะเพราะอะไรก็ตาม … เรามาดูกันดีกว่าว่า หุ้นซ่อนกำไรมีลักษณะแบบไหนบ้าง … ติดตามกันเลยดีกว่า …
แบบแรก “กำไรโผล่จากสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป”
หุ้นซ่อนกำไรแบบนี้เป็นธรรมชาติที่สุด คือ สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของกำไรใหม่ ยกตัวอย่างเช่น กิจการบางอย่างต้นทุนการผลิตผันผวนตลอดเวลา ทำให้ผลกำไรที่ทำได้มีความผันผวนมาก อาจเปลี่ยนเป็นกำไรเริ่มคงที่ ทำนายกำไรได้แม่นยำขึ้น และกลายเป็น “หุ้นเงินสด” ก็เป็นไปได้
เมื่อมาถึงจุดที่กำไรโผล่ และแน่นอนขึ้น ตลาดหุ้นอาจจะเริ่มปรับพีอีหุ้นตัวนี้ใหม่ จากเดิมพีอีต่ำมาก เนื่องจากความไม่แน่นอนของกำไร แต่เมื่อกำไรแน่นอนขึ้น และมีแนวโน้มจะดีทุกปี พีอีจะถูกปรับใหม่ ส่งผลต่อราคาหุ้นปรับขึ้นอย่างรวดเร็วนั่นเอง และนี่คือสถานการณ์ของหุ้นซ่อนกำไรที่เกิดเหตุการณ์ “กำไรโผล่” จากสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป …
แบบที่สอง “กำไรโผล่จากการตัดค่าเสื่อมราคาที่ลดลง”
บางครั้งสิ่งที่เรียกว่า “กำไรทางเทคนิค” ก็ทำให้หุ้นถูกปรับราคาขึ้นมาได้ … ไม่ว่าจะด้วยวัตถุประสงค์หนใด หากเจ้าของกิจการบางรายต้องการที่จะ “ซ่อนกำไร” เอาไว้ในหุ้น เปรียบเหมือนซ่อนไพ่ดีๆ เอาไว้ ไม่ให้ใครรู้ และจะนำมาใช้ในยามที่ต้องการใช้ เพื่อให้เกิดสถานการณ์พลิกผัน … เขาก็สามารถทำได้ … และสิ่งที่ง่ายที่สุดก็คือ การปรับการบันทึกค่าเสื่อมราคาเสียใหม่ …
อย่างไรก็ตาม การปรับเปลี่ยนกำไรทางเทคนิคแบบนี้ หลายครั้งจะขาดความมั่นคง คือ อาจเป็นเหตุการณ์ชั่วครั้งชั่วคราว แต่นั่นก็สามารถทำให้ราคาหุ้นขยับปรับตัวได้เช่นกัน นักลงทุนควรจับตามองให้ดี และหากเป็นไปตามที่คิด ก็ควรขายทำกำไรออกมาบ้าง เพื่อเปลี่ยนสถานะจาก “ผู้เล่น” ให้เป็น “ผู้ดู” จะทำให้เราเห็นภาพกว้างขึ้นได้
แบบที่สาม “กำไรถูกปลดล็อกจากการพ้นจุดคุ้มทุน”
เหตุการณ์กำไรโผล่แบบนี้สำหรับผมถือเป็นสิ่งที่ยั่งยืนที่สุด เนื่องจากสิ่งที่เรียกว่า “จุดคุ้มทุน” หรือ Break Even Point กำไรจะไหลมาเทมา หรือผมชอบเรียกจุดคุ้มทุนแบบเล่นๆ ว่า “จุดกำไรไหล” นั่นก็คือ การลงทุนแต่ละครั้งต้องใช้ทุนในการดำเนินการ และในช่วงแรกที่ยอดขายยังโตไม่ทันต้นทุนดำเนินการ กิจการอาจยังขาดทุน หรือกำไรน้อยมาก แต่เมื่อมันเลยจุดนี้มาได้จะเกิดเหตุการณ์กำไรไหลนั่นเอง
วิธีสังเกตว่ากำไรจะเริ่มไหลมาเมื่อไรแบบง่ายๆ ที่สุดก็คือ … เราต้องดูการเติบโตของยอดขาย แล้วเปรียบเทียบกับการเติบโตของต้นทุนขาย หากต้นทุนขายโตต่ำกว่ายอดขายมากๆ และราคาหุ้นยังไม่ขยับปรับตัวแต่อย่างใด ให้รีบเข้าไปเก็บสะสมหุ้นได้เลย แต่ข้อพึงระวังก็คือ เราต้องแน่ใจให้ได้ว่า ยอดขายที่เติบโตขึ้นเป็นการเติบโตจริงๆ และยั่งยืนต่อเนื่องนะครับ
แบบสุดท้าย “กำไรซ่อนอยู่ในสต็อกสินค้า”
การมองหากำไรที่ซ่อนอยู่ในสต็อกสินค้า เป็นเรื่องไม่ง่าย แต่หากเราหาเจอนั่นจะทำให้เราทำกำไรได้ค่อนข้างแม่นยำ … หลักการง่ายๆ ก็คือ สินค้าบางอย่างที่มีต้นทุนไม่คงที่ ปรับขึ้นลงตามราคาวัตถุดิบในตลาดโลก และบางครั้งการปรับขึ้นลงนั้นเกิดขึ้นชั่วคราว ไม่ใช่ความผันผวนที่มีแบบปกติ ถ้าเป็นแบบหลังควรหลีกเลี่ยงจะดีกว่า …
เมื่อเราเช็คดูแล้วพบว่า ต้นทุนวัตถุดิบบางอย่างปรับตัวลงอย่างรุนแรง และเป็นเรื่องชั่วคราว แบบนี้เราสามารถทำนายได้เลยว่า “กำไรจะโผล่” ในอนาคตอันใกล้ … และหลายครั้งเราสามารถกดเครื่องคิดเลขคำนวณตัวเลขได้เลย ใช้สมการบวกลบคูณหารธรรมดาๆ นี่แหละครับ ใครเห็นก่อนก็จะทำกำไรได้นั่นเองครับ …
อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ซ่อนกำไรทั้งสี่แบบ ต้องอาศัยประสบการณ์และฝีมือการลงทุนในระดับหนึ่ง หากเรายังไม่มั่นใจ เป็นมือใหม่ มองภาพไม่ชัด ไม่ต้องรีบร้อน ค่อยๆ ศึกษาไป หรือใช้ท่าง่าย ๆ ด้วยการซื้อหุ้นดีมีอนาคต และแข็งแกร่งไปก่อน นั่นจะปลอดภัย และเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับเรานะครับ