มองหาหุ้นเติบโตกันเถอะ ... “หาหุ้นเด้ง จากธุรกิจวัฏจักร”

การลงทุนในหุ้นบางประเภท เช่น หุ้นวัฏจักร สิ่งที่จะมาขับเคลื่อนให้กิจการเริ่มขยับกลับมามีกำไรก็คือ การที่มี “ดีมานพีค” หรือมีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน ถ้าไม่ใช่เกิดจากดีมานพีค ก็ต้องเกิดจาก “ซัพพลายช็อก” หรือ เกิดการขาดแคลนสินค้าประเภทโภคภัณฑ์อย่างหนัก ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า Spread หรือส่วนต่างราคาถ่างออกมา

สำหรับสินค้าโภคภัณฑ์ที่เป็นต้นตอของหุ้นวัฏจักร ผมลองแบ่งวิเคราะห์พิจารณากับหุ้นเป็นลักษณะกิจการต่าง ๆ ได้แก่ กิจการยางพารา กิจการเดินเรือ กิจการฟิลม์พลาสติก เรามาดูคุณลักษณะของแต่ละกิจการกันเลย

กลุ่มแรก “กิจการยางพารา”

อย่างที่เรารู้กันดีว่าปัจจุบันยางพาราอยู่ในภาวะตกต่ำ ว่าที่จริงแล้วเริ่มจะฟื้นขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังไม่พ้นน้ำอยู่ดี จะเรียกว่า น้ำขึ้นน้ำลง ก็คงไม่ผิด พูดง่าย ๆ ก็คือ เอาแน่เอานอนไม่ได้จะขึ้นก็ไม่ขึ้น จะลงก็ไม่ลง

เมื่อเรามาดูตัวเลขที่รายงานใน MD&A ของหุ้น STA จะพบว่า ปริมาณอุปทานยางธรรมชาติของโลกที่เป็นแท่งสีม่วงยังคงเติบโตสูง คิดเป็นสัดส่วนกำลังการผลิตของยางพาราที่แสดงดังเส้นสีเขียวโตกว่า 20.9% ในปีล่าสุด สัดส่วนความต้องการยางพาราในโลกดูเหมือนจะเริ่มมากขึ้น

(ภาพแสดงสัดส่วนการใช้ยางธรรมชาติ เปรียบเทียบกับการใช้ยางสังเคราะห์)

ราคายางพาราดูเหมือนว่ามีแนวโน้มจะมีราคาดีขึ้น ซึ่งถ้าเราสังเกตจากปัจจุบันชาวสวนยางเริ่มโค่นต้นยางตัวเอง และบางส่วนก็หันไปปลูกผลไม้เมืองร้อน เช่น ทุเรียนทดแทน แต่เราก็ต้องติดตามกันต่อไปว่าจะทำให้ราคายางพาราขยับขึ้นได้จริงหรือไม่

กลุ่มที่สอง “กลุ่มเดินเรือ”

สำหรับกลุ่มเดินเรือ ถือเป็นหุ้นวัฏจักรเช่นกัน โดยกลุ่มนี้จะแบ่งออกเป็นสองประเภท คือ เรือเทกอง อันได้แก่ PSL TTA และเรือตู้คอนเทนเนอร์ RCL แต่ด้วยธรรมชาติของการเดินเรือก็มีอะไรที่คล้าย ๆ กันอยู่บ้าง

สำหรับเรือเทกองนั้น ในปี 2561 มีแววจะฟื้นตัวอยู่เหมือนกันครับ โดยปัจจัยที่กำหนดการฟื้นตัว ก็คือ ปริมาณเรือที่ต่อใหม่มีน้อยลง หรือการเติบโตราว 2% ในขณะที่ความต้องการสินค้าเทกองในปีนี้เติบโต 3.5% เข้าข่าย Demand > Supply

ส่วนเรือตู้นั้น ยังไม่เข้าข่ายฟื้นตัวเต็มที่ เนื่องจากปริมาณเรือในท้องทะเลยังคงสูง ทำให้ค่าระวางเรือปรับขึ้นยากเย็นยิ่งนัก โดยทาง IMF ได้คาดการณ์ไว้ว่า เศรษฐกิจโลกในปี 2561 จะขยายตัวราว 3.7% ในขณะที่ปริมาณการค้าโลกจะเติบโต 4% แต่คาดว่าอุปทานเรือคอนเทนเนอร์จะเติบโตกว่า 5.5% ในปี 2561 … หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ Supply > Demand ถ้าเป็นแบบนี้เรือตู้คงต้องรอไปก่อนครับ

อย่างไรก็ตามในปี 2019 หรือ 2562 มีการคาดการณ์ว่า Global container shipping capacity growth หรือกำลังการบรรทุกของเรือตู้ มีแนวโน้มจะลดต่ำกว่าความต้องการขนสินค้า หรือจะเข้าข่าย Demand > Supply

สาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะมีการใช้กฎหมายสิ่งแวดล้อมทางทะเล และอาจบีบให้เรือที่มีอายุมาก ๆ เก่า และใช้งานมานานต้องปลดระวางไป ต้องรอลุ้นกันล่ะครับงานนี้

กลุ่มสุดท้าย “ธุรกิจฟิลม์ และบรรจุภัณฑ์”

สำหรับหุ้นโภคภัณฑ์กลุ่มนี้ ได้แก่ AJ PTL เป็นต้น โดยกลุ่มนี้ต้องอาศัย Spread ระหว่างวัตถุดิบที่นำมาผลิตฟิลม์ กับราคาขายฟิลม์ให้กับลูกค้า โดยประเภทของฟิลม์แบ่งเป็นสามประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่

  • ฟิล์ม BOPP ใช้กับสินค้าประเภท งานพิมพ์ซอสินค้าอุปโภคบริโภค, เทปกาว, เคลือบกระดาศ,ลายไม้ กระดาษห่อของขวัญ
  • ฟิล์ม BOPET ใช้กับซอง ขนมขบเคี้ยว, เทปกาว, ฉนวนกันความร้อนสายไฟและแบตเตอรี่
  • ฟิล์ม BOPA (Nylon) ซองบรรจุอาหารพร้อมทาน, แชมพู น้ำยาปรับผ้านุ่ม ,น้ำมันพืช,ซอสปรุงรส,อาหารแช่แข็ง

นอกเหนือจากนี้จะเป็นประเภทย่อยลงไป ซึ่งยอดขายส่วนใหญ่ของหุ้นทั้งสองตัวจะขึ้นอยู่กับฟิลม์ทั้งสามประเภทดังกล่าวเป็นหลัก การขึ้นลงของราคาฟิลม์ กับวัตถุดิบจะเป็นอะไรที่เราต้องจับตามองให้ดี

จากข้อมูลของรายงานการประชุมหุ้น AJ ผมยกตัวอย่างง่าย ๆ เลยครับ ถ้าความต้องการ หรือ Demand ที่เป็นเส้นสีแดง มีมากกว่า Supply ที่เป็นเส้นสีน้ำเงิน ก็จะเกิด Spread ที่กว้างขึ้น และจะทำให้กำไรของหุ้นกลุ่มนี้เติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่าสิ่งเหล่านี้เป็นการคาดการณ์จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ก็แล้วกัน

ข้อสรุปเบ็ดเสร็จ …

ใครคิดจะลงทุนหุ้นกลุ่มวัฏจักร ต้องขอบอกก่อนว่ามันไม่ง่ายเลยครับ บางครั้งกำไรมาดีก็จริง แต่ราคาหุ้นไม่ขึ้นก็มีเหมือนกัน สิ่งที่เราต้องพกติดตัวไว้สำหรับคนที่คิดจะลงทุนหุ้นกลุ่มนี้ก็คือ “การทำใจเอาไว้ก่อน” เพราะผลลัพธ์อาจตรงกันข้ามกับที่เราคิด แต่หากเราทำสำเร็จผมรับรองเลยว่ามีโอกาสที่เราจะลุ้นเด้งกับหุ้นกลุ่มนี้ได้แน่นอนครับ

– นายแว่นลงทุน –

TSF2024