เราควรตามกลิ่นของเงินในตอนนี้จริง ๆ หรือ

เราควรตามกลิ่นของเงินในตอนนี้จริง ๆ หรือ

ภาพแสดงราคาดัชนี China A50 วันที่ 8 กรกรฎาคม 2020

เห็นภาพข้างต้นแล้วรู้สึกอย่างไรครับ บางคนอาจจะเริ่มแคลงใจคิดกันไปว่าจีนนี่ต้องเป็นหุ้นแห่งอนาคตหรือโมเมนตัมถัดไปเป็นแน่

ถ้าว่ากันทางเทคนิคอลการ Breakout จากกรอบราคาขนาดใหญ่นี้คงเป็นที่ล่อตาล่อใจ นักลงทุนสายเก็งกำไรกันเป็นแน่ แต่คำถามถัดไปก็คือหากว่ากันถึงระยะกลางที่จะถึง ท่ามกลางราคาของตลาดหุ้นที่พุ่งขึ้นแบบไม่สนคำว่ามูลค่านี้มันใช่จังหวะหรือไม่?

ในระยะยาวแล้วการเก็บตัวของราคาหุ้นจีนในตอนนี้ อาจจะเรียกได้ว่าเป็นพี่ ๆ ของทองคำช่วงก่อนหน้าเลยก็ว่าได้ ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าหุ้นจีนอาจจะมาได้จริง ๆ หลังเก็บตัวมานานหลายปี (ราว ๆ 5 ปี)

จริงอยู่ที่การไหลของเงินไปหาที่ ๆ มีผลตอบแทนเป็นเคสที่มีความเป็นไปได้สูงในช่วงนี้ หลังภาวะดอกเบี้ยตำ่ กดดันให้ผลตอบแทนของพันธบัตรแทบจะไม่มีที่ยืนอีกต่อไป จนอาจทำให้คนโยกย้ายไปหาสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนได้สูงขึ้น

แต่ถึงอย่างนั้นนี่อาจจะยังไม่ใช่จุดประสงค์หลักของบทความนี้ หลังหุ้นในหลาย ๆ ตลาดช่วงนี้อาจจะอยู่ในช่วงของ “การเก็งกำไร” ก็ว่าได้ จากเหตุผลในเรื่องของการที่เงินไหลไปหาที่ ๆ มีผลตอบแทนข้างต้น 

กลิ่นของเงิน (Smart Money) ความคิดของที่มีเหตุผล

หากว่ากันในเรื่องของ Smart money หรือโมเมนตัมของเงินที่เข้าหาสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่มากกว่าได้เป็นพวกแรก ๆ ก็ดูเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล หากมนุษย์ทุกคนเชื่อว่า สินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งกำลังให้ผลตอบแทนที่มากกว่าและจะโยกย้ายไปที่นั้น ๆ

แต่ความเป็นจริงก็คือ เราคงเหมารวมไม่ได้ว่า คนทุก ๆ คนจะคิดเช่นนั้น เนื่องด้วยลึก ๆ มนุษย์ทุกคนมีส่วนที่ไร้เหตุผลอย่าง “อารมณ์” ด้วยกันทั้งสิ้น

ยังมีคนมากมายเข้าซื้อหลัง Smart Money ด้วยความกลัวว่าพลาดโอกาส หลังราคาวิ่งไปสูงลิบตา จนอาจทำให้ความเสี่ยง ณ จุดที่เข้าซื้อเทียบกับผลตอบแทนอาจจะไม่คุ้มค่าเท่าไรนัก

และนั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมตลาดหุ้นถึงไม่วิ่งตามมูลค่าที่แท้จริง ซึ่งหากเรามาดูมูลค่าที่แท้จริงในช่วงนี้แล้ว ผมเองส่วนตัวก็ไม่แน่ใจนักว่าการเล่นกับ Smart money ถึงเวลาแล้วหรือยัง ในช่วงนี้

สภาวะหาผลตอบแทน (Seeking for Yield) อาจกำลังอยู่ในช่วงแห่งความ “เปราะบาง”

ภาวะ “Seeking for yield” หรือการหาผลตอบแทนนี้จะวิ่งวนโยกย้ายไปได้อีกนานแค่ไหนคงจะไม่มีใครรู้

แต่คงไม่มีใครปฏิเสธว่ามูลค่าของตลาดหุ้นตอนนี้อยู่ในระดับที่เรียกได้ว่า “เปราะบาง” จนหากเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้น ก็อาจจะส่งผลให้ราคาปรับตัวลงอย่างรุนแรงก็เป็นได้

เราควรตามกลิ่นของเงินในตอนนี้จริง ๆ หรือ

ภาพแสดงค่า CAPE หรือ P/E ปรับเงินเฟ้อ วันที่ 7 กรกฎาคม 2020

และคงไม่มีใครปฏิเสธว่าโลกแห่งการลงทุนเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่คาดคิดเสมอ ๆ และอยู่เหนือความสามารถของพวกเราที่จะประเมินปัจจัยทุกอย่างให้ครบถ้วนได้หมด

“ในวันพรุ่งนี้ Fed อาจจะออกท่าใหม่ อัดเงินนับล้านเข้าตลาด หรือ อาจจะเกิดการ Lockdown อย่างไม่คาดฝันขึ้นมาก็เป็นได้” ซึ่งมันก็อาจจะดีหากสถานการณ์ออกมาเป็นในส่วนของเคสที่ 1 และอาจจะแย่หากออกมาเป็นเคสที่ 2 แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่เราควรถามกับตัวเองก็คือ ราคาที่ไร้เหตุผลจากความคาดหวังของคนว่า Fed จะพิมพ์เงินเข้าตลาดเรื่อย ๆ จะอยู่กับเราไปได้อีกนานแค่ไหน? 

เรายืนอยู่บนจุดไหนของตลาด?

หากถามถึงจุดยืนของเรา ณ ตอนนี้ อาจจะเรียกได้ว่า มูลค่าได้ปีนป่ายใกล้เคียงกับยุควิกฤติดอทคอมเข้าไปทุกที ซึ่งคำว่า “ระมัดระวัง” หรือ “Stay cautious” อาจเป็นสิ่งที่เราควรทำมากที่สุดในตอนนี้

เราควรตามกลิ่นของเงินในตอนนี้จริง ๆ หรือ

ภาพแสดงการคาดการณ์ค่า P/E 12 เดือนล่วงหน้าของดัชนีหุ้นโลก (MSCI AC World Index) ที่เข้าใกล้ช่วงวิกฤติดอทคอม

ศิลปะแห่งการ “รอคอย”

คงปฏิเสธไม่ได้ว่า การลงทุนที่ดีนั้น คือ “การรอจังหวะที่ใช่” และมีโอกาสที่จะสำเร็จมากที่สุด แต่การรอคอยนั้นจะเรียกได้ว่าเป็นศิลปะอีกแขนงหนึ่งของการลงทุนก็ว่าได้ เพราะ นอกจากเราจะต้องใช้เหตุผลในการคิดวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนแล้ว ศิลปะแห่งการบริหารจิตใจหรือ “Mindset” ก็คงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราต้องให้ความสำคัญ ในภาวะที่ตลาดหุ้นหลาย ๆ ตลาดปรับตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และอาจจะจำเป็นอย่างมากในช่วงนี้ 

ว่ากันด้วยเรื่องของ Smart Money ในตอนนี้

ที่ผ่านมา Warren Buffett เองก็เริ่มเปิดเกมเข้าลงทุน หลังกำเงินสดมาสักพักในช่วงวิกฤติ โดยเข้าซื้อทรัพย์สินกักเก็บและลำเลียงก๊าสธรรมชาติของ “Dominion Energy” ซึ่งอยู่ในกลุ่มพลังงาน (ไม่ใช่ซื้อหุ้นซะทีเดียว) ที่ฟังดูแล้วอาจจะได้รับผลกระทบมากที่สุดจากช่วงวิกฤติที่ผ่านมาจากทั้ง COVID-19 และสงครามราคานํ้ามัน

แต่ถึงอย่างนั้น Dominion Energy เองก็มีความแตกต่างและไม่ใช่ธุรกิจพลังงานทั่ว ๆ ไปที่พึ่งพาเพียงแต่นํ้ามัน แต่เป็นพลังงานทางเลือกโดยใช้ก๊าสธรรมชาติเป็นหลักถึง 32% และใช้นํ้ามันเพียง 9% ของสัดส่วนในการผลิตพลังงานไฟฟ้า

นี่ก็ถือว่าเป็นอีกตัวอย่างของ Smart money ก็ว่าได้หลังหุ้นกลุ่มพลังงานทำผลงานอย่างยํ่าแย่ในช่วงที่ผ่านมา แต่ในความยํ่าแย่นั้นก็หมายถึงการได้ผลตอบแทนชดเชยความเสี่ยงที่สูงขึ้นเช่นกัน หากวิกฤติผ่านพ้นไป อีกทั้งท่ามกลางความยํ่าแย่ก็ยังอาจมีบางธุรกิจซึ่งอาจมีศักยภาพในการเติบโตและถูกมองข้ามไปเช่นกัน

นอกจากนั้นก็ยังพิสูจน์ให้เห็นว่านักลงทุนระดับโลกยังคงให้ความสำคัญกับการประเมินการเชิงมูลค่า อีกทั้งยังวิเคราะห์อย่างเป็นเหตุเป็นผลด้วยตนเอง ท่ามกลางความไม่แน่นอน และยังเดินหน้าลงทุนต่อไป ท่ามกลางความกังวลของผู้คน

คงไม่มีใครบอกได้ว่าวิกฤตินี้จะจบลงเมื่อไร เราจะตกรถหรือไม่หาก Fed ทำ QE ไปเรื่อย ๆ แต่สิ่ง ๆ หนึ่งที่บอกเราได้ก็คือความไม่สมเหตุสมผลของตลาดและมูลค่าที่เกินจริง แต่ในขณะเดียวกันก็อาจมีคนมองเห็นโอกาสที่ซ่อนอยู่เช่นเดียวกัน 

ดังนั้นสิ่งที่ควรทำที่สุดในตอนนี้ อาจเป็นการตัดสินด้วยเสียงของตนเอง หาใช่คนอื่นไม่

แต่สำหรับผมเอง ผมขอเลือกที่จะรอก่อนละกัน…

ขอให้ทุกคนโชคดีครับ

Mr. Serotonin

เคยไหม? ซื้อกองทุนตามคำแนะนำจนมีเต็มพอร์ต สุดท้ายรู้ตัวอีกทีก็ติดดอยขาดทุน

เราขอนำเสนอ FINNOMENA แพลตฟอร์มที่จะแนะนำกองทุนที่ตรงกับความต้องการของคุณ มีระบบแจ้งเตือนปรับเปลี่ยนกองทุน และ Tactical Call จับจังหวะซื้อขายระยะสั้น

เปิดบัญชีลงทุนออนไลน์ ซื้อกองทุนได้เร็วสุดภายในวันทำการถัดมา ลองเลย!

คลิกที่นี่เพื่อเปิดบัญชี

References

https://www.bloomberg.com/news/articles/2020-06-23/-everything-is-expensive-as-global-stock-valuation-debate-rages

 

TSF2024