สรุป LIVE ประจำวันกลับมาอีกครั้ง โดยในวันนี้เนื้อหาหลักจะเป็นเรื่องการปิดกองทุนอย่าง TMBUSB และ TMBABF รวมถึงอัปเดตสถานการณ์เศรษฐกิจไทย และสถานการณ์โควิด-19 โดยรวม พร้อมแล้วอ่านไปพร้อมๆกันได้เลยครับ
ทำไม TMBUSB และ TMBABF ถึงมีการปิดตัวลง
ก่อนอื่นต้องแจกแจงก่อนว่า กองทุนทั้งสองกองนี้ลงทุนในตราสารหนี้ที่เป็นเกรดลงทุนขึ้นไป (Investment grade) เช่น พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ธนาคารเกียรตินาคิน หุ้นกู้ทรูมูฟ เอช และมีการลงทุนในเงินฝากต่างประเทศ เช่น ธนาคารรัฐวิสาหกิจจีน ธนาคาร Abu Dhabi (เจ้าของ Manchester City) ซึ่งตัวเงินฝากจะมีวันครบกำหนดอายุฝาก (นึกภาพง่ายๆเหมือนกับเราเปิดบัญชีฝากประจำกับธนาคารในบ้านเรานี่แหละครับ ต้องทำตามเงื่อนไข) ซึ่งจากเงื่อนไขการกำหนดอายุนี่เองทำให้สภาพคล่องตํ่า (จะขายทีก็เสียดอกเบี้ย เพราะ เราละเมิดกฎการฝากของเขา) โดยการลงทุนในส่วนนี้มีสัดส่วนถึง 22.23% ของพอร์ตการลงทุนในกอง
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมทั้ง TMBUSB และ TMBABF จึงต้องปิดตัวลง เพราะ หากทางผู้จัดการกองทุนรีบขายการลงทุนในส่วนนี้ อัตราดอกเบี้ยที่ว่าอาจจะหายไป ทำให้ผลตอบแทนกองทุนนั้นยํ่าแย่ยิ่งกว่าเดิม และอาจทำให้นักลงทุนตื่นตระหนกมากกว่าเดิม และเทขายรุนแรงขึ้นไปอีก
โดยที่ผ่านมาภายในระยะเวลาเพียง 7 วัน กองทุน TMBUSB ถูกเทขายอย่าวหนักหน่วงจนทำให้มูลค่าทรัพย์สินรวมของกองทุนจากราวๆ 80,000 ล้านบาท เหลือเพียง 30,000 ราวๆล้านบาท จึงอาจทำให้ผู้จัดการกองทุนจำเป็นต้องขายตราสารหนี้ที่อยู่ในกองเพื่อแลกกับสภาพคล่อง
ส่วนตัว TMBABF ก็ถูกเทขายอย่างรุนแรงเช่นเดียวกัน โดยมูลค่าทรัพย์สินลดลงเหลือราวๆ 38,000 ล้านบาท ในส่วนนี้อาจไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมในเรื่องความรวดเร็วในการขาย ต้องขออภัยด้วยครับ เนื่องจากตัวกองทุนได้ปิดตัวไปแล้ว
เงินลงทุนของนักลงทุนทุกท่านที่จะได้คืนหายไปเยอะไหม?
จากการวิเคราะห์เบื้องต้น เป็นการขาดทุนแต่ไม่เยอะครับ เพราะ ความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ตํ่าในทั้งสองกอง (ไม่ได้เป็นการล้มละลายหรือหนี้สูญ) โดยทาง ผจก. กองทุนมีหน้าที่ค่อยๆขายสินทรัพย์ออกไป หลังจาก ผจก. มองว่าการปิดกองทุนนั้นเป็นผลดีมากกว่าการดำเนินการต่อไป เพราะ หากเปิดต่อไปคนอาจจะตกใจแห่เทขายไปเรื่อย จนอาจทำให้ผู้ที่ขายหน่วยลงทุนช้าได้ผลตอบแทนที่ยํ่าแย่มากกว่าเดิม ซึ่งการปิดกองและค่อยๆขายในครั้งนี้ ทาง ผจก. กองทุนอาจมองว่าเป็นประโยชน์สูงสุดสำหรับนักลงทุนทุกท่านครับ
แล้วผู้ที่ลงทุนในกองทุนที่ว่าจะได้รับเงินคืนเมื่อไร?
อธิบายเงื่อนไขคร่าวๆกันก่อนครับ
T คือ วันที่มีการยุติการซื้อขาย
โดย T+5 คือระยะเวลาที่ทาง ผจก. กองทุนจะเริ่มทยอยขายตราสารหนี้ต่างๆเท่าที่ทำได้ ในราคาที่เป็นธรรม
ซึ่งหากบวกคร่าวๆจากวันทำการของแบงค์ชาติน่าจะได้รับเงินแถวๆก่อนสงกรานต์ แต่ต้องรอทาง TMB Eastspring ยืนยันอีกทีครับ
โดยทาง กลต. มีข้อกำหนดว่าต้องขายและชำระคืนเงินงวดแรกภายใน 10 วันทำการ แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของนักลงทุนด้วย เช่น การขายการลงทุนในเงินฝากประจำ ที่อาจทำให้นักลงทุนสูญเสียผลตอบแทนอย่างดอกเบี้ยเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม ตามหนังสือชี้ชวนการลงทุนภายใน 90 วันทางกองทุนต้องจัดการขายทรัพย์สินให้หมด แต่อาจมีการขอผ่อนผันได้เพิ่มเติมจาก ผจก. กองทุน
คำถามต่อไปก็คือหากมีการยืดเยื้อเกิน 90 วัน จะได้ครบทันทีทั้งหมด 100% หรือไม่ คำตอบก็คืออาจจะไม่ครับ เพราะ ทาง บลจ. สามารถยื่นผ่อนผันเพิ่มเติมได้ ถ้าเกิดเห็นว่าเป็นประโยชน์สูงสุดของนักลงทุน อาธิเช่น เงินฝากประจำถืออีก 2 เดือนได้ดอกเบี้ยตามกำหนด ก็อาจจะยืดเยื้อได้
มุมมองส่วนตัวของคุณเจ็ทแนะนำว่าอย่าไปปักหมุดว่า 90 วันต้องได้คืนแน่นอน โดยทางเราจะมีการอัปเดตข้อมูลเรื่อยๆให้นักลงทุนทุกท่านทราบครับ
หากสงสัยว่าจะคำนวณราคายังไง? ได้คืนเท่าไร? ผมได้เตรียมข้อมูลเบื้องต้นมาให้ทุกคนตามภาพด้านล่างแล้วครับ
ข้อมูลภาพจากประกาศกองทุนเว็บไซต์ TMBAMeastspring.com
โดยนักลงทุนทุกท่านสามารถนำมูลค่าหน่วยลงทุนข้างต้น มาคูณกับจำนวนหน่วยลงทุนที่คุณมีตอนนี้ ก็จะได้จำนวนเงินคร่าวๆที่คุณจะได้คืนครับ
อย่างไรก็ตามรออัพเดทจากทางทีมงาน FINNOMENA อีกทีนะครับ นี่เป็นเพียงสรุป LIVE จากวันพฤหัสกฎเกณฑ์อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์ครับ ขอให้ทุกคนเข้าใจคร่าวๆตามสรุปด้านบนกันไปก่อน ทั้งนี้และทั้งนั้นผมขอแสดงความเสียใจกับนักลงทุนทุกท่านด้วยครับ
เจอเรื่องเครียดๆกันไปแล้ว ต่อไปเรามาเสริมความรู้ด้านการลงทุนกันดีกว่าครับ
เช่นเคย… เรามาอัปเดตสถานการณ์การลงทุนประจำวันกันก่อน (26 มีนาคม 2563)
ทางกนง. ประกาศที่จะไม่ลดดอกเบี้ย และเก็บกระสุนไว้ โดยมุมมองส่วนตัวผมมองว่าค่าเงินบาทอยู่ในระดับที่อ่อนขึ้น รวมถึงได้มีมาตรการเข้าช่วยซื้อพันธบัตรรัฐบาลลดความผันผวนของราคาแล้วเช่นกัน รวมถึงภาคธุรกิจที่ยังชะลอตัว จึงอาจทำให้ทาง กนง. ยังตัดสินใจไม่ลดดอกเบี้ยและรอดูสถานการณ์ไปก่อน
ทางแบงค์ชาติมีการประมาณการ GDP -5.3% ซึ่งมากกว่าครั้งวิกฤติ Subprime
Ben Bernanke อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐ ได้ออกมาให้มุมมองว่าเศรษฐกิจอเมริกาจะฟื้นตัวได้ภายในครึ่งปีหลัง แม้จะกำลังเผชิญหน้าการถดถอยจากโควิด-19 โดยอาจมองว่าพอมีวัคซีนออกมา คนก็มีความมั่นใจมากขึ้น และกลับมาจับจ่ายใช้สอยกันเช่นเดิม
ประวัติศาสตร์ตราสารหนี้อเมริกาผลิกโผหลังผลตอบแทนตราสารหนี้อเมริกาติดลบ ซึ่งเกิดจากทำ QE แบบชุดใหญ่ของ Fed นั่นเอง
เช็คการเทขายตราสารหนี้ในไทยผ่านดัชนี ThaiBMA Composite Bond Index
หลายคนอาจสงสัยว่าดัชนีตัวนี้คืออะไร ดัชนีตัวนี้ก็คือการรวมพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นจนถึงยาว และตราสารหนี้ภาคเอกชนทั้งหมดเอาไว้ด้วยกันออกมาเป็นตัวชี้วัดราคาดังภาพ โดยปัจจุบันนั้นติดลบที่ประมาณ -4.5% ซึ่งมีสาเหตุส่วนนึงมาจากการที่กองทุนตราสารหนี้ในประเทศถูกเทขายนั่นเอง
ต่อมาเรามาอัพเดทสถานการณ์เศรษฐกิจและมุมมองตลาดในช่วงนี้กันสักหน่อย
ประมาณการเศรษฐกิจจากทางแบงค์ชาติของไทยเรา
แบงค์ชาติประมาณเศรษฐกิจไทยปีนี้หดตัว 5.3% ปีโดยมีการประมาณการปีหน้าว่าจะฟื้น 3%
เงินเฟ้อปีนี้ติดลบ -0.1% หรือเป็นเงินฝืดนั่นเอง หลักๆมาจากการส่งออก สินค้าบริการ ที่ลดลงจากการแพร่ระบาดของโควิด-19
การติด -5.3% เกิดจากอะไร?
เกิดจากการที่เศรษฐกิจโลกถดถอยจากโควิด-19 การระบาดในไทยมีการคาดการณ์ว่าจะควบคุมได้ภายในไตรมาส 2 ซึ่งไทยเรายังเหลือมาตรการทางการคลังที่ยังไม่ได้ใช้ออกมาอยู่ และสมควรอย่างยิ่งที่จะรีบปล่อยของออกมาให้ทันท่วงทีครับ
ซึ่งถ้าจะถามว่าตอนนี้มีไหม? ก็มีครับแต่เป็นเชิงเยียวยาเสียมากกว่า ไม่ได้กระตุ้นเท่าที่ควร เช่น การเลื่อนการจ่ายภาษี
แต่หากจะมีการทำอย่างจริงจังแล้วไทยเรายังทำได้อีกมาก จากหนี้สาธารณะที่ยังอยู่ในระดับที่ไม่สูงที่ระดับ 50% ของ GDP ถ้าทำออกมาก็ถือว่าไม่เกินตัวครับทำได้และควรทำอย่างยิ่ง
จำนวนนักท่องเที่ยวในไทยลดลงเรื่อยๆจากโควิด-19
เส้นสีแดงคือตัวเลขนักท่องเที่ยวในปีนี้ (รายวัน) โดยจะสังเกตได้ว่ามีการลดลงอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่จีนประกาศให้บริษัทท่องเที่ยวหยุดดำเนินกิจการตั้งแต่มีโควิด-19 เข้ามากดดัน (เริ่มจากเส้นประแนวตั้งนะครับ)
ค่าเงินบาท
สาเหตุที่ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงนั้น มีสาเหตุหลักมาจากการที่นักท่องเที่ยวลดลง การส่งออกที่ลดลง รวมถึงการถอนทุนของนักลงทุนออกจากตลาดหุ้นไทย ทำให้เงินบาทอ่อนค่าดังที่เห็นในกราฟข้างต้นครับ
แจกแจงกองทุนทองคำที่เราได้แนะนำนักลงทุนทุกท่านไป
ถือว่าประสบความสำเร็จเลยทีเดียวสำหรับกองทุน SCBGOLD (เดี๋ยวผมมีปล่อยรีวิวออกมาเร็วๆนี้ด้วยนะครับติดตามกันได้) โดยก่อหน้านั้ทางเราได้มีการแนะนำให้ลงทุนทองแบบไม่ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน จากภาพจะสังเกตได้ว่าผลตอบแทนต่างกันมากๆ
ในด้านของราคามีการลดลงมาก่อนหน้าจากการที่นักลงทุนขายสินทรัพย์ เพื่อถือเงินสดมาใช้ก่อนยามวิกฤติ แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้ราคากลับมาได้แล้วหลังจาก Fed อัด QE ชุดใหญ่เสริมสภาพคล่อง เพิ่มเงินในมือให้คนในระบบ ดังนั้นราคาทองจึงกลับมาได้ดังที่เห็น ดังนั้นเงินในตอนนี้จึงไหลไปหาสิ่งที่มีความเสี่ยงตํ่าหรือ Safe Heaven อย่างทองคำ
อีกเหตุนึงก็คือการส่งทองคำแท่งตอนนี้ทำได้ยาก ด้วยมาตรการ work from home ณ ปัจจุบัน อาจทำให้ไม่มีคนขนส่งทองคำที่เป็นตัวจริงๆ คนเลยอาจเข้ามาไหลลงทุนในตลาดฟิวเจอร์แทนก็เป็นได้
อีกปัจจัยหนึ่งก็คือเหมืองทองขนาดใหญ่ใน Switzerland ได้ทำการปิดเหมืองจึงอาจทำให้ supply ของทองคำลดลงไปอีก แต่ด้วยความต้องการทองคำที่ยังมากอยู่ทำให้ราคาเพิ่มอย่างรุนแรง
ดังนั้นสรุปได้ว่า supply น้อยลง demand มากขึ้น ทำให้ราคาเพิ่มขึ้นอย่างมาก
อัพเดทสถานการณ์โควิดและวัคซีน
จำนวนผู้ติดเชื้อในหลายๆประเทศเริ่มลดลง โดยต้องเริ่มเป็นทรงระฆังควํ่าก่อนถึงเป็นสัญญาณที่ดีครับ
ความคืบหน้าล่าสุดในเรื่องของวัคซีน
จากภาพจะเห็นได้ว่าขั้นตอนการดำเนินการในเรื่องของวัคซีนจะเป็นดังนี้
1) ค้นพบ
2) เริ่มทดลองในสัตว์
3) ทดลองในคนที่เป็นอาสาสมัครสุขภาพดีและผู้ป่วยที่มีอาการหนักประมาณ 100 ราย
4) ทดสอบกับคน 1,000-10,00 ราย ว่ามีอาการแพ้หรือไม่
5) อนุญาติจดสิทธิบัตร
ปัจจุบันการทดลองยารักษาพัฒนาไปถึงไหนแล้ว
บริษัทอย่าง Roche Holding AG (Switzerland) และ Gilead Science Inc. ได้เริ่มทำการทดลองยารักษาเบื้องต้น (ยังไม่ได้ถึงขั้นที่เป็นวัคซีน) โดยในส่วนของวัคซีนนั้นอาจจะมีระยะเวลาอีกราวๆ 1 ปีกว่าจะพัฒนาออกมาได้ และคาดว่าทางจีนอาจเป็นที่แรกที่สามารถพัฒนาได้ในอีก 4-6 เดือนข้างหน้าซึ่ง ณ ตอนนี้หลายๆประเทศทั่วโลกอย่างเร่งพัฒนาออกอยู่ อาจจะเป็นในเรื่องของการแข่งขันด้วย เพราะ หากผลิตออกมาได้จะสามารถนำมาขายทำกำไรได้มากมาย
อัพเดทสงครามเดือดหั่นราคานํ้ามัน
ราคานํ้ามันยังอยู่ในระดับตํ่าอยู่ โดยทำจุดตํ่าสุดในรอบ 30 กว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งมีผลมาจากการที่ supply การผลิตมากกว่า demand ดังภาพเป็นผลมาจากการผลิตเพิ่ม จึงส่งผลให้ราคาลดลงเนื่องจากว่าปริมาณล้นตลาด โดยมีผลมาจากสงครามหั่นราคานํ้ามันระหว่างรัสเซียและซาอุดิอาระเบียนั่นเองครับ
รัสเซียมีไพ่ที่เหนือกว่าซาอุดิอาระเบียอย่างค่าเงิน
ทางรัสเซียได้มีการกดค่าเงินตัวเองให้อ่อนลง เพื่อให้ส่งออกนํ้ามันได้มากขึ้น (ราคาถูกเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ) โดยอาจนำกำไรในส่วนนี้มาชดเชยส่วนที่ค่าเงินอ่อน หลักๆก็คือทางรัสเซียใช้ความยืดหยุ่นของค่าเงินเข้าสู้นั่นเอง
ผลพวงลูกโซ่กระทบมาถึงตลาดตราสารหนี้พลังงานเกรดตํ่า
ส่วนต่างความเสี่ยงตราสารหนี้ภาคเอกชน ณ ปัจจุบันอยู่ที่ 10% เทียบกับกับ subprime ที่ 16% โดยส่วนต่างที่สูงขึ้นแปลว่ายิ่งเสี่ยงมากขึ้น และหากถึงเลข 10 ที่เรียกได้ว่าเป็น magic number โอกาสเจ๊งจะสูงมากครับ
ทั้งหมดก็เป็นสรุปของ LIVE วันพฤหัสครับ หวังว่าทุกคนจะได้คลายข้อสงสัยกันนะครับ รักษาสุขภาพกันด้วย
ขอให้ทุกคนโชคดีครับ