เกิดอะไรขึ้นกับ Alibaba! ทำไมโดนรัฐจีนสั่งเก็บ? Alibaba ยังลงทุนได้หรือไม่? เป็น Stock หรือ Stonk ไปแล้ว!? เรามาสำรวจไปพร้อม ๆ กันดีกว่า
เริ่มแรกเรามาทำความรู้จักธุรกิจของ Alibaba กันเสียก่อน จะได้มาทำความเข้าใจไปพร้อม ๆ กันว่าสตอรี่เรื่องราวของการผูกขาดเกิดมาจากอะไร?
มาเริ่มกันเลยที่สัดส่วนรายได้หลัก Alibaba มีสัดส่วนรายได้หลักมาจากธุรกิจต่าง ๆ ดังนี้
เมื่อเห็นดังนี้แล้วเราจะเห็นได้ว่า Alibaba มีสัดส่วนรายได้หลักมาจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเป็นหลัก ดังนั้นในบทความนี้จึงขอเจาะไปที่ส่วนของตลาดค้าปลีกออนไลน์ซึ่งถือเป็นรายได้หลักของ Alibaba โดยแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซตัวชูโรงของ Alibaba ก็จะมี Taobao และ Tmall
ตัว Taobao จะให้บริการในรูปแบบ B2C หรือเป็นธุรกิจกับลูกค้าโดยตรง โดยมีโมเดลที่น่าสนใจอย่างการไม่เก็บค่าธรรมเนียมทั้งกับคนซื้อและคนขาย แต่ใช้วิธีการหารายได้ผ่านการโฆษณาทาง SEO แทน (Keyword ไหนคนสนใจเยอะ ๆ ก็ยิ่งเก็บแพง) หรือจะเรียกได้ว่าเป็นธุรกิจที่หารายได้เหมือน Google แต่ให้บริการแบบ Amazon ก็ว่าได้
สิ่ง ๆ นี้หากไปถึงหูชาวจีน คงตาลุกวาวกันเป็นแน่ เพราะ ชาวจีนถือได้ว่านิยมชมชอบสินค้าราคาถูกกันเป็นยิ่งนัก และมีการขายตัดราคากันแบบสุดโหดอยู่แล้ว ดังนั้นการลดภาระทางด้านค่าธรรมเนียมออกไป ก็จะช่วยให้คนขายมีกำไรมากขึ้น คนซื้อก็อยากซื้อมากขึ้นตอบโจทย์สุด ๆ
มาดูทางด้าน Tmall กันบ้าง Tmall ถือเป็นอีกแพลตฟอร์มขั้วตรงข้ามกับ Taobao โดยจะเน้นไปที่สินค้าที่มีความพรีเมียมมากขึ้น มีพ่อค้าโนเนมที่น้อยกว่า มีร้านค้าอย่างเป็นทางการและมีแบรนด์ควบคุม มีการเก็บค่าธรรมเนียมผู้ขายปีละ 5,000 เหรียญ และเก็บค่าธรรมเนียมการซื้อขายตั้งแต่ 0.5%-5.0% อีกทั้งการเข้ามาขายสินค้าใน Tmall ยังต้องวางเงินฝากเพื่อความปลอดภัยอีกถึง 25,000 เหรียญ จึงอาจจะเรียกได้ว่าเป็นแพลตฟอร์มที่มีความน่าเชื่อถือ มั่นคงและมี Position ที่หรูหรากว่า และเน้นเจาะลูกค้า Hi-end ก็ว่าได้ ซึ่งเป็นโมเดลที่แตกต่างจาก Taobao อย่างสิ้นเชิง
จึงอาจสรุปได้ว่า Alibaba มีธุรกิจที่เจาะลูกค้าได้ทุกรูปแบบครบเครื่องเจาะลูกค้าได้ 2 กลุ่ม ไม่ว่าจะสายเน้นของถูกหรือสายเน้นคุณภาพก็ว่าได้
นอกจากนั้น Alibaba ยังมีธุรกิจอื่น ๆ อย่างเช่น Freshippo ซูเปอร์มาเก็ตที่เน้นขายสินค้าและผลิตภัณฑ์อาหารสดแบบเป็น ๆ, Sun Art ธุรกิจค้าปลีกที่จัดจำหน่ายอาหารในจีน, หรือ Cainiao บริษัทโลจิสติกส์ขนส่งสินค้าจากผู้ผลิตไปถึงผู้บริโภค มีพันธมิตรเป็นบริษัทขนส่งชั้นนำมากมาย
ภาพนี้แสดงให้เห็นว่า Alibaba มีการแบ่งระยะเวลาจัดส่งให้เหมาะสมกับสินค้าอย่างชัดเจน
ถ้าหากดูจากองค์ประกอบข้างต้นแล้ว Alibaba แทบจะเรียกได้ว่าเริ่มและจบงานได้ด้วยตนเองแบบครบวงจร เพราะมีทั้งร้านค้าแบบออฟไลน์และออนไลน์ และยังมีบริการขนส่งให้อีกด้วย ซึ่งธุรกิจต่าง ๆ ที่ Alibaba ได้จัดสรรเข้ามาเพิ่มนั้นก็ทำให้ Alibaba มีความครบเครื่องและสามารถควบคุมการส่งสินค้าได้ดั่งใจ จนสามารถออกแบบระยะเวลาในการส่งสินค้าที่เหมาะสมกับสินค้าแต่ละประเภทได้ด้วยตนเอง
แต่วิธีดังกล่าวอาจไปจุดประเด็นทางรัฐของจีน เพราะ ในเมื่อ Alibaba สามารถจบงานได้ด้วยตนเองแบบครบวงจร และอาจใ้ช้ท่าอย่างการเข้าซื้อร้านเชนออฟไลน์ มาคอนเน็กกับแพลตฟอร์มออนไลน์ของตนเองที่มี Users จำนวนมหาศาลเรื่อย ๆ แนวโน้มที่ว่าอาจนำไปสู่การผูกขาดทางธุรกิจซึ่งก็เป็นประเด็นร้อนแรงในช่วงที่ผ่านมา จนทางรัฐจีนต้องสั่งเรียกค่าปรับด้านการผูกขาดจาก Alibaba
ดังนั้นต่อไปเราจะมาดูกันว่าในเชิงตัวเลขแล้ว Alibaba ถูก แพง หรือหุ้นตัวนี้จบไปแล้วกันแน่?
ในตอนนี้ Alibaba มีค่า P/E หลังปรับพวก Seasonality Effects ต่าง ๆ ออกไปแล้วอยู่ที่ 13.04 เท่า
แต่หากเราลองมาเทียบกับอัตราการเติบโตของกำไรย้อนหลัง 5 ปี ที่อยู่ที่ 14.42% และ 3 ปีที่ 30.67% เราอาจจะพูดได้ว่า Alibaba ในตอนนี้อาจจะเรียกได้ว่าอยู่ในระดับที่ถูกเลยทีเดียวหากเทียบกับการเติบโตของกำไร
นอกจากนั้นอย่างที่ทุกคนน่าจะรู้กันดีอยู่แล้วว่าบริษัท เทคโนโลยีแนว ๆ นี้มีสภาพคล่องที่สูงมีหนี้น้อย จึงทำให้สภาพคล่องในระยะสั้น ๆ ไม่น่าจะน่าเป็นห่วง ถึงแม้จะเจอเรื่องค่าปรับการผูกขาดไปก็ตาม
ว่ากันด้วยเรื่องของค่าปรับการผูกขาด หากเรามาดูดี ๆ ถึงแม้บริษัทจะเจอเรื่องนี้เข้าไป ก็ดูจะไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไรนัก เพราะ จากรายงานของบริษัทช่วงปิดปีล่าสุด กำไรสุทธิในรอบปีก็ยังเติบโตได้สูงถึง 30% หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ในขณะที่กำไรสุทธิในรอบ 3 เดือนก็เติบโตได้ถึง 18% หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
อีกทั้งเรื่องของกฎหมายการผูกขาด หากเราลองมาคิดดูดี ๆ ปัจจัยนี้ไม่ได้แสดงถึงการที่ธุรกิจนั้นอ่อนแอลงอย่างใด และเผลอ ๆ อาจจะเป็นปัจจัยเพียงชั่วคราวเสียด้วยซ้ำ อย่างที่เรารู้กันว่าพวกนโยบายสามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอด ตัวอย่างง่าย ๆ ก็เช่น Fed ที่ปรับประมาณการลด QE ลดดอกเบี้ย ลด MBS ลด Repo ได้เรื่อย ๆ ไม่รู้จบ
นอกจากนั้นจีนเองก็ค่อนข้างเด่นชัดในเรื่องของความชาตินิยม ดังนั้นหากมองในอีกแง่ สี จิ้นผิง คงไม่กล้าหักหัวเรือบิ๊กเทคของตนเองจนถึงขั้นประเทศได้รับผลกระทบกันเป็นแน่ และอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซก็เป็นอีกอุตสาหกรรมที่โตมาอย่างต่อเนื่องโดยตลอด
ตลาดอีคอมเมิร์ซยังถูกคาดการณ์ว่าจะเติบโตต่อเนื่อง!
หากเรามาดูที่กราฟรายวัน Alibaba กำลังเผชิญกับ Dead Cross ซึ่งเป็นการตัดกันลงของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วันและ 200 วัน จนราคาปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก อีกทั้งราคาหลังเกิด Dead Cross ยังไม่ได้มีการสร้างฐาน Low ใหม่ที่สูงกว่าเก่าแต่อย่างใด ดังนั้นในเชิงเทคนิคแล้ว Alibaba อาจจะยังไม่ได้มีการกลับตัวเป็นขาขึ้นขนาดนั้น
สรุปโดยรวมแล้ว Alibaba ถือเป็นธุรกิจที่ตอนนี้อาจจะแทบเรียกได้ว่าเริ่มและจบงานได้ด้วยตนเอง มีการเสริมทัพเข้ามาเป็นช่องทางออฟไลน์ต่าง ๆ อีกทั้งยังมีระบบที่ดำเนินการด้านโลจิสติกส์ด้วยตนเองได้อีกด้วย
อีกทั้งยังมีข้อมูลในเชิงปริมาณหรือตัวเลขที่ในตอนนี้อาจจะเรียกได้ว่าอยู่ในระดับที่น่าดึงดูด และสร้างการเติบโตได้ตลอด แต่สัญญาณทางเทคนิคก็อาจจะเป็นเรื่องที่ต้องดูกันต่อไป เพราะ อาจจะยังไม่ได้มีนัยยะอะไรที่บอกจุดเข้าได้นั่นเอง ดังนั้น Alibaba ก็อาจจะถูกแล้วถูกได้อีก แต่ในเชิงมูลค่าอาจจะเริ่มมีความน่าสนใจ
หวังว่าทุกคนจะได้ประโยชน์จากบทความนี้ไม่มากก็น้อย และที่สำคัญอ่านกันด้วยความสนุกนะครับ
ขอให้ทุกคนโชคดีครับ
Mr. Serotonin
ที่มา: Alibaba Press Release, Alibaba Presentation, Reuters, contentcommerceinsider.substack.com, Franklin Templeton Insights
เนื้อหาส่วนหนึ่งโดย Franklin Templeton Academy
เรียบเรียงและจัดทำโดย Mr. Serotonin
รายละเอียดเพิ่มเติม ความร่วมมือระหว่าง FINNOMENA x Franklin Templeton
FINNOMENA x Franklin Templeton : https://finno.me/ftxfinnomena
FINNOMENA x Franklin Templeton Investor Base : https://finno.me/investorbase
ข้อสงวนสิทธิ์
แฟรงคลิน เทมเพิลตัน (“Franklin Templeton”) ไม่รับผิดใด ๆ ต่อบุคคลภายนอก ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์ บริการ เว็บไซต์ หรือเนื้อหาใด ๆ ที่ได้จัดทำหรือปรากฏในช่องทางต่าง ๆ ของบุคคลภายนอกนั้น อีกทั้ง Franklin Templeton ไม่ได้ให้คำรับรอง รับประกัน หรือเป็นตัวแทน ไม่ว่าจะโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายในเนื้อหาหรือความถูกต้องของข้อมูลในช่องทางต่าง ๆ ของบุคคลภายนอก และไม่รับผิดต่อสิ่งใด ๆ ที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากสิ่งที่กล่าวไว้ข้างต้น
ในกรณีที่มีความแตกต่างกันระหว่างเอกสารภาษาอังกฤษกับการแปลเป็นภาษาไทย ให้ยึดถือตามเอกสารภาษาอังกฤษ
แหล่งข้อมูล
Franklin Templeton Investment
Article, FINNOMENA Franklin Templeton, home bias, Infographic, Knowledge, Long Content