เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติ คือนักลงทุนที่มีขนาดเม็ดเงินในการลงทุนเยอะที่สุดในตลาดหุ้นไทย ดังนั้น มันจึงเป็นความฝันของนักลงทุนทุกคนที่อยากจะรู้ว่า เขาคิดยังไงบ้าง
ซึ่งวิธีการอ่านความคิดเขาที่เร็วที่สุด ก็คือ การดูยอดซื้อขายสุทธิ ณ สิ้นวัน แล้วเอาตัวเลขเหล่านั้นมารวมกัน เป็น Net Buy / Net Sell ต่อสัปดาห์ ต่อเดือน ต่อปี ก็ว่ากันไป
ซึ่งสรุปคร่าวๆ 2 ปีที่ผ่านมา ต่างชาติ Net Sell หุ้นไทย มาตลอด นี่เลยเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ปู่เซตไม่สมารถทำ Higher High หรือสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้ซํกที
ปี 2556 ขายสุทธิ -3.7 หมื่นล้านบาท
ปี 2557 ขายสุทธิ -1.9 แสนล้านบาท
ปี 2558 (ถึง 4 ก.ย.) ขายสุทธิ -8.94 หมื่นล้านบาท
คราวนี้ มันก็มี 2 ความคิดที่ต้องวิเคราะห์กันต่อ
1. ต่างชาติเหลือหุ้นให้ขายอีกเยอะไหม?
2. เขามองอนาคตหุ้นไทย เป็นอย่างไร?
ต่อคำถามแรก แรงขายร่วมๆ 3 ปีที่ผ่านมา ใกล้เคียงกับช่วงที่เขาขายตอนเกิดวิกฤต Subprime พอสมควร ดังนั้น ต้องชั่งใจว่า เศรษฐกิจไทย วันนี้ ปัจจัยพื้นฐานเราเปลี่ยนจนแย่กว่า ณ ตอนนั้นไหม ถ้าแย่กว่า แรงขายก็น่าจะยังมีอีก แต่ใครที่เชื่อว่า เราดีกว่าวันนั้นเยอะ ก็คงเชื่อว่า แรงขายควรจะใกล้หมดแล้ว
ผมพาไปอ่านความคิดของนักวิเคราะห์ต่างชาติ ที่ Credit Suisse มาบรรยายในงาน Thailand outlook seminar ว่าเขามองเศรษฐกิจไทยเป็นอย่างไร
** ย้ำก่อนว่า เขาอาจจะมองผิดหรือถูก เราไม่รู้ แต่เขาจะ Action ตามสิ่งที่เขาคิด นั้นคือสิ่งที่เขาพิสูจน์ให้เห็นมาตลอด ดังนั้น ใครจะบอกว่า ไม่จิ๊งงงง ไม่จริง ไทยไม่ได้เป็นอย่างนั้น ท่านอาจจะถูกครับ เขาอาจจะคิดผิด ผมแค่อยากชี้ให้ทุกท่านเห็น เพื่อจะได้ข้อมูลเพิ่มเติมประกอบการตัดสินใจ
อะไรคือสิ่งที่เขากังวล
- หนี้สินภาคครัวเรือนต่อ GDP ที่ระดับ 85% นั้นไม่มีทีท่าว่าจะลด ทำให้การกระตุ้นภาคการบริโภค มีข้อจำกัด และประสิทธิภาพของนโยบายจะต่ำ
- แรงงานฝีมือของไทยเราอยู่อันดับ 88 จากทั้งหมด 103 ในทวีปเอเชีย แสดงให้เห็นว่า ไทยกำลังสูญเสียความสามารถในการแข่งขันระยะยาวหรือเปล่า?
- อัตราการเกิดของประชากรไทย มีอัตราที่ต่ำสุดใน ASEAN ไทยเราจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเร็วกว่าประเทศอื่นๆ (มีผู้สูงอายุมากกว่า 20% ของประชากรทั้งหมด ใน 30 ปีข้างหน้า)
- เริ่มเห็นปัญหาหนี้เสีย (NPL) ในบริษัทขนาดเล็ก (SME) ทำให้อัตราการปล่อยสินเชื่อในอนาคตจะชะลอตัวลงอีก
อะไรที่สิ่งที่ทำให้ไทยน่าสนใจ
- ภาคการท่องเที่ยวที่ยังคงเติบโตได้ดีในครึ่งปีแรก ทำให้หุ้นหลายๆตัวในตลาดยังคงมีความน่าสนใจ ทั้งนี้ เขามองว่า เหตุการณ์ระเบิดที่ราชประสงค์ นั้น จำนวนนักท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัวได้เร็ว เมื่อเทียบกับเหตุการณ์คล้ายๆกันที่เกิดแห่งอื่นบนโลก
- การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐฯหลังจากนี้ มีโอกาสเร่งตัวสูงแบบก้าวกระโดด หลังรัฐบาลและทีมเศรษฐกิจเห็นปัญหาที่ต้องแก้ไขเร่งด่วน
แต่ไม่ใช่แค่นั้นที่เราต้องดูครับ วันนี้ ที่นักลงทุนต่างชาติกังวล มันไม่ใช่แค่เศรษฐกิจไทยที่เดียว แต่มันคือความเสี่ยงของโลก นั้นก็คือ การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนนั้นเอง บอกประเด็นนี้ไปหลายครั้งแล้วครับ ตามอ่านได้ที่ เรื่องของหยวน เรื่องของจีน เรื่องของโลก
ทั้ง CS, MS และ JPMorgan มองว่า ณ วันนี้ – รัฐบาล และธนาคารกลางหลายๆประเทศ ประเมินความเสี่ยงเรื่องจีนนี้ต่ำเกินไป แปลอีกความหมายหนึ่งก็คือ รัฐบาลอาจมองว่าผลกระทบไม่เยอะ แต่จริงๆแล้วนักลงทุนต่างชาติเขาคิดว่าผลกระทบน่าจะเยอะกว่านั้น
ดังนั้น นอกจากที่เราต้องเห็นพัฒนาการเรื่องสร้างศักยภาพ ฟื้นความเชื่อมั่นในประเทศ และกระตุ้นการลงทุนแล้ว เรายังต้องหวังให้เศรษฐกิจจีนสามารถหาจุดสมดุลใหม่ได้ในเร็ววันด้วยเช่นกัน ไม่เช่นนั้น เป้า GDP Growth ของไทยที่ 2.5%-3.0% อาจจะโดนปรับลดลงไปอีก
ตอนนี้ ต่างชาติเริ่มกลับมาพูดถึงโอกาสที่แบงก์ชาติเราจะลดดอกเบี้ยอีกซัก 0.25% ให้เหลือ 1.25%
ถ้าเฟด ไม่ขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งหน้า เราอาจจะเห็นก็ได้ครับ แต่ก็ต้องมาคิดว่า เมื่อบวกกับมาตรการต่างๆทั้งหมดทั้งมวลแล้ว จะทำให้เศรษฐกิจไปอยู่ที่จุดใด
สุดท้ายนี่ อย่าลืมว่า ในตลาดขาลง หรือเศรษฐกิจมีความเสี่ยงเช่นนี้ มันอาจจะมีหุ้นบางตัว บริษัทบางบริษัทที่ได้ประโยชน์ หรือ ไม่ได้รับผลกระทบในแง่ของปัจจัยพื้นฐาน แต่โดน Sentiment ลากมาพาให้ราคาดิ่งลงไปด้วย ซึ่งนั้นก็คือโอกาสในการลงทุนระยะยาว
ส่วนตัว ผมมอง Downside หุ้นไทยยังมี โอกาสเจอ New Low ยังมี แต่มันไม่ได้หมายความว่า หุ้นทุกตัวในตลาดจะทำ New Low ด้วยนะครับ สำรวจพอร์ตตัวเองครับ ถ้าไม่มั่นใจ ก็ลดความเสี่ยงลงหน่อย
Mr.Messenger