ผมอัพเดทมุมมองตัวเองเกี่ยวกับตลาดหุ้นจีนไปเมื่อปลายเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา ตามลิงค์ด้านล่างนะครับ
จีน ตอนนี้ยังลงทุนได้อยู่หรือเปล่า
ขอบอกก่อนว่า ทุกอย่างที่ผมเขียน มันเป็นมุมมองส่วนตัว ซึ่งอาจจะถูกหรือผิดก็ได้ ที่ผมไม่สามารถฟันธงให้ทุกท่านได้ ก็เพราะอีกด้านของความเสี่ยง มันไม่ใช่เรื่องว่า ตลาดหุ้นจะขึ้นหรือลง แต่เป็นองค์ความรู้ และความเข้าใจในพฤติกรรมตลาดของนักลงทุนรายคน ซึ่งมีความสำคัญไม่แพ้กับข้อมูลหุ้นหรือตลาดเลย
วันที่ผมอัพเดทตอนนั้น ยังจำได้ว่า มีคนประนามผม และโวยวาย ทั้งโทรมาหา และ Line มาหลังไมค์ว่า เฮ้ย!!! บลจ. เกือบทุกแห่งเขาเชียร์ซื้อหุ้นจีนกัน นี่อาไร มาบอกว่าขายไปหมดแล้ว เสียบรรยากาศหมด – -” ผมก็เงียบของผมไปนะครับ ไม่ได้ไปตอบโต้ท่าน เพราะผมก็คิดอยู่เสมอว่า ตัวผมเองอาจจะคิดผิด และครั้งนี้ที่จะอัพเดทก็เช่นกัน
ย้อนกลับไปดู Timeline และการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นจีนตั้งแต่เริ่มเป็นขาขึ้น จนถึงวันนี้ผ่านกราฟนี้ของ Bloomberg กันครับ
จะเห็นว่า ช่วงต้นปี ทางการจีนพยายามเตือนเรื่อง Margin Trade แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะทิศทางนโยบายการเงินในภาพใหญ่ มันทำให้นักลงทุนอยากเสี่ยงต่อเนื่อง จากการลดดอกเบี้ย และลด RRR ต่อเนื่องมาจากปีที่แล้ว แต่พอตอนตลาดปรับฐานแรงๆในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา จะผ่อนคลายกฏ จะห้ามขาย Short Sell หรือบอกให้ผู้จัดการกองทุนหยุดขายหุ้น ก็ไม่สามารถหยุดกันได้ ยังมีนักลงทุนโยนซ้ายต่อเนื่อง
เมื่อมองเห็นภาพกว้างๆแบบนี้ เราก็จะได้ข้อคิดอย่างหนึ่งครับ นั้นก็คือ ถ้าหวังว่าตลาดจะขึ้นเพราะมี Policy Maker มาหนุนตลาด แทรกแซงกลไก ผมคิดว่า คิดแบบนั้นไม่ได้ครับ เพราะตลาด Panic Sell อยู่
มาตรการอย่างหนึ่งที่เจ้าของบริษัทจดทะเบียนใน A Share ร่วมกับ กลต. พยายามทำ เพื่อหยุดแรงขายก็คือ ขึ้น SP หุ้นในตลาดไม่ให้ซื้อขายมันซะเลย ซึ่งพอนับหุ้นเหล่านั้นจนถึงวันจันทร์ที่ผ่านมา ก็มีจำนวนราวๆ 740 ตัว หรือคิดเป็นเกิน 1 ใน 4 ของหุ้นในตลาดทีเดียว ผมมองว่า คิดแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้ ถือว่าผิดครับ ถ้า Valuation หุ้นมันแพง มันคือหุ้นเลวที่โดนลากขึ้นไป ยังไงเสีย ตอนเปิดให้เทรดใหม่อีกรอบ ก็โดนนักลงทุนเทขายอยู่ดี ดังนั้น ใครไปลงใน A-Share ที่เป็น ETF หรือ Index ที่ไม่ได้คัดเลือกที่คุณภาพของหุ้น ดูที่ Market Cap. อย่างเดียว ดัชนี Shanghai Composite วันนี้ ยังไม่สะท้อนราคาของหุ้นที่ขึ้น SP อีกจำนวนหนึ่งนะครับ
ให้ดูอีกกราฟหนึ่งครับ คนเขาก็เข้าใจเปรียบเทียบนะ
มีคนพยายามเดาว่า แล้วจีนตอนนี้ มีโอกาสลงไปถึงตรงไหน เค้าก็เลยเอากราฟจีน ไปเปรียบเทียบกับ Dow Jones เมื่อปี 1929 ที่รู้กันว่า the Great Crash ซึ่งช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐพังไปพร้อมตลาดหุ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ไม่ถึงสิบปี ทุกอย่างดูสวยงาม อุตสาหกรรมขยายตัว ราคาอสังหาฯไปได้สวย ตลาดหุ้นก็ดูดีจนกระทั่งเกิดการเก็งกำไรกันมากเกินไป วันที่ 24 ต.ค. 1929 หรือ “Black Thursday” คือวันที่ระบบเทรดในสหรัฐฯล่ม เหล่าธนาคารในวอลสตรีทก็ประชุมกัน และป้องกันการ Panic Sell ด้วยการใช้เงินของธนาคารเหล่านั้นตั้ง Bid รับหุ้นที่มีคนขายใส่มาให้หมด ซึ่งผลคือ หยุดแรงขายได้จริงครับ … แต่หยุดได้แค่วันเดียว แล้วก็เป็นอย่างที่กราฟด้านล่างโชว์
นี่ผมกำลังจะทำให้พวกคุณกลัวมากขึ้นอยู่รึเปล่านิ – -”
มีสถิติย้อนหลัง การปรับฐาน 17 ครั้งล่าสุดในตลาด A Share มาให้ดูครับ
ในตาราง แบ่งเป็นการปรับฐานย่อย (ตกลงมาไม่เกิน 10-20%)และปรับฐานใหญ่ (ร่วงหนักกว่า 20%) การปรับฐานรอบนี้ ถือเป็นอีกหนึ่ง Major Correction ข้อสังเกตคือ ปรับฐานใหญ่ 10 ครั้งที่ผ่านมา ไม่มีครั้งไหนที่ใช้เวลาต่ำกว่า 1 เดือน แต่ถ้าสังเกตุฟองสบู่โดยใช้ PE เป็นเกณฑ์ จะพบว่า Peak PE ก่อนตลาดปรับฐานรอบบนี้อยู่ที่ 26 เท่า ซึ่งน้อยกว่าค่าเฉลี่ยพอสมควร จึงมีคนพยายามบอกว่า ฟองสบู่ยังไม่แตก (ไม่แตกอะไรฟร่ะ ลงมา 30% – -“)
ติดดอยหุ้นจีน ทำอย่างไรดี?
เป็นผมนะครับ ถ้าถือตั้งแต่จุดสูงสุดของรอบ จนถึงตรงนี้ขาดทุนคาตาไปแล้วกว่า 30% แนะนำว่า ไม่ต้องไป Cut Loss หรอก ลงมาขนาดนี้ ดูในอดีต จีนลงหนักสุดก็ 55% แย่ที่สุดที่คุณจะเจอก็คือ ลงได้อีก 25% ซึ่งเกิดยากครับ วันนั้นมันฟองสบู่ชัดมาก แต่วันนี้ ในแง่ของ Valuation นั้น ไม่ได้แพงเว่อร์เหมือนปี 2008
งั้นถ้าไม่ Cut Loss แล้วจะถัวตรงไหน?
ซื้อตอนเด้ง มีสัญญาณกลับตัว ดีกว่าถัวขายลงครับ ไม่แนะนำให้ช้อนไปเรื่อยๆ จะช้อนทองคำ หรือ ช้อนเพชร ตลาดแบบนี้ หักได้เหมือนกันหมด
แล้วถ้ายังไม่มีหุ้นจีน สนใจจะซื้อละ?
ผมนี่ จ้องตาเป็นมันเลย มีเริ่มเก็บ A Share ไปเบาๆบางส่วนครับ ถ้ามันจะลงต่อ ก็เตรียมตัว Cut Loss (ผมตั้ง Stop ไว้ที่ 6%) แต่ถ้าลงทุนยาวๆ พฤติกรรมของ A Share บวกกับ Valuation ที่ถูกกว่า ของ H Share ผมแนะนำให้ไปทยอยเก็บกองทุนที่ลงทุนใน H Share แทนครับ อย่ามาฝากเงินเกษียณ หรือเงินการศึกษาลูกไว้ใน A Share เลย มันนอนไม่หลับนะ