The Trend Following Investor

หากใครชื่นชอบการลงทุนแบบจับสัญญาณ หาโอกาสในตลาดที่เป็นขาขึ้น สนุกกับการค้นหาสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มเติบโต เพื่อวิ่งไปพร้อมกับเทรนด์ในจังหวะที่ถูกต้องเพื่อโอกาสทำกำไรก้อนใหญ่ หรือที่เรามักจะเรียกนักลงทุนสไตล์นี้ว่า The Trend Following Investor

การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาในปีนี้ ถือเป็นตลาดที่น่าสนใจ และต้องเก็บไว้ในลิสต์เลยสำหรับกลยุทธ์การลงทุนแบบ Trend Following ส่วนเหตุผลเป็นเพราะอะไรนั้น มาดูกันครับ

The Trend Following Investor

นับตั้งแต่ต้นปี 2023 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นมา และวิ่งอยู่ในเทรนด์ขาขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง และสัญญาณยิ่งชัดขึ้นว่า S&P 500 พร้อมเข้าสู่ภาวะกระทิง (Bull Market) ก็เมื่อช่วงต้นเดือนมิถุนายน ที่ดัชนี S&P 500 ทะลุแนวต้านที่ระดับ 4,318 จุด ตรงกับ Fibonacci Retracement 61.80% (Golden Ratio) ซึ่งเป็นสัญญาณทางเทคนิคสำคัญที่ชี้ว่าขาลงของตลาดได้ผ่านพ้นไปแล้ว และได้วิ่งต่อเนื่องมายาว ๆ จนถึงวันนี้

The Trend Following Investor

Source : TradingViews as of 31/07/2023

คำถามคือตอนนี้ที่มูลค่าหุ้นสหรัฐฯ ค่อนข้างวิ่งไปไกลแล้ว การเข้าลงทุนในจังหวะนี้ยังมีความน่าสนใจอยู่ไหม จะเป็นการวิ่งไล่เทรนด์ที่ช้าไปหรือเปล่า?

อันดับแรก ต้องกลับมาดูก่อนว่าหุ้นสหรัฐฯ ที่ขึ้นในปีนี้ ขึ้นเพราะอะไร และมีกลุ่มไหนที่ขึ้นบ้าง ซึ่งจะเห็นว่าการเติบโตครั้งนี้ ไม่ได้ขึ้นทุกกลุ่มอุตสาหกรรม แต่เกิดแค่กับหุ้นบิ๊กเทค 7 ตัว (The Magnificent Seven) ได้แก่ Apple, Microsoft, Alphabet, Amazon, Nvidia, Tesla และ Meta ที่เกี่ยวข้องกับกระแส AI Boom

แสดงให้เห็นว่าขาขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯ กระจุกอยู่แค่กลุ่มนี้ ซึ่งก็มองได้ทั้งมุมความเสี่ยงและโอกาส

แต่ถ้าจะวิเคราะห์อีกมุมหนึ่ง ผู้ที่ได้ประโยชน์จาก AI ล้วนแต่เป็นบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ซึ่งมีข้อได้เปรียบทั้งการพัฒนานวัตกรรมสำหรับใช้ในธุรกิจ, ข้อได้เปรียบจากขนาด, เป็นแบรนด์ที่ทรงอิทธิพลต่อโลก และนำมาสู่ความสามารถทำกำไรได้ดีในระยะยาว ทำให้มีโอกาสจะทิ้งห่างคู่แข่งไปเรื่อย ๆ จนตามไม่ทัน

แปลว่า ถ้าเราเชื่อในแนวโน้มระยะยาวของหุ้นผู้นำเทรนด์เหล่านี้ ประกอบกับมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปีนี้มีโอกาสน้อยลงเรื่อย ๆ ที่จะเข้าสู่ภาวะ Recession ผมมองว่า กองทุน MEGA10-A ถือว่าเป็นอะไรที่ยังคงน่าสนใจ ทั้งในระยะสั้น กลาง และระยะยาว 

MEGA10-A กองทุนแบรนด์ดี 10 อันดับแรกของโลก

ความน่าสนใจของ MEGA10-A นั้นเป็นกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนบนบริษัทที่เป็น Global Brand ชั้นนำของโลก ที่สำคัญคือจะคัดเลือกเพียง 10 ตัวเท่านั้นในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศสหรัฐอเมริกา

วิธีการเลือกลงทุนของ MEGA10-A จะเน้นไปที่ความได้เปรียบทางการแข่งขันของแบรนด์ระดับโลก ได้แก่

  1. มูลค่าของแบรนด์มีผลในเชิงบวกต่อราคาหุ้นของบริษัท โดยต้องเป็นแบรนด์ที่คนทั่วไปรู้จัก ใครเห็นก็จะนึกถึงอยู่ตลอดเวลา
  2. มีกลุ่มลูกค้าและนักลงทุนที่จงรักภักดีต่อแบรนด์อย่างชัดเจน แม้จะปรับขึ้นราคา ไม่มีโปรโมชัน ลูกค้ากลุ่มนี้ก็กลับมาใช้บริการอยู่เสมอ
  3. รายได้กระจายตัวอยู่ในหลากหลายภูมิภาคทั่วโลก จึงช่วยลดความเสี่ยงหากประเทศใดประเทศหนึ่งเกิดปัญหา ก็สามารถมีรายได้จากที่อื่นเข้ามาทดแทนได้ 

โดยมีกลยุทธ์ในการบริหารกองทุนแบบ “Rule Based Approach” ซึ่งมีปัจจัยที่ใช้คัดเลือกหุ้น คือ

  1. หุ้นต้องมีคุณภาพ (Quality) จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ 
  2. มูลค่าหุ้น (Valuation) ต้องไม่แพงจนเกินไป
  3. ขนาดของมูลค่าหุ้น (Size) มีมูลค่ากิจการที่สูง
  4. สภาพคล่อง (Liquidity) ต้องดี มีการซื้อขายหมุนเวียนในตลาดอย่างสม่ำเสมอ

 

The Trend Following Investor

Source: FINNOMENA FUNDS as of 31/07/2023

และนี่คือหน้าตา Top 10 Brands ชั้นนำที่กองทุนเลือกลงทุน ซึ่งล้วนเป็นแบรนด์ที่ทุกคนคุ้นเคยกันดี และที่สำคัญคือเราแทบจะหาไม่ได้เลยกับกองทุนที่จะเปิดพอร์ตการลงทุนให้เห็นทั้ง 100% แบบนี้ เพราะปกติแล้วกองทุนจะเปิดให้เห็นแค่ Top 5 Holding หรือ Top 10 Holding ที่ให้เห็นสัดส่วนแค่ประมาณ 30-40% เท่านั้น ทำให้เราไม่รู้ว่าอีก 60% นำไปลงทุนอะไรบ้าง 

แต่ไม่ใช่กับ MEGA10-A ที่กางออกมาให้เห็นครบ ๆ เนื่องจากลงทุนเน้น ๆ แค่ 10 ตัว* ได้แก่ Apple, Amazon, Tesla, Alphabet, Microsoft, Meta, P&G. VISA, Mastercard และ JPMorgan ซึ่งจะเห็นว่าไม่ใช่หุ้นเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่มีอุตสาหกรรมการเงิน และสินค้าอุปโภคบริโภค รวมอยู่ด้วย

*ข้อมูลบริษัทอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต และการลงทุนของกองทุน MEGA10-A มิได้ลงทุนใน 10 บริษัทข้างต้นนี้เสมอไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าบริษัทใดใน NYSE / NASDAQ จะเข้าเงื่อนไขตรงกับนโยบายของกองทุน

นอกจากนี้ ยังลงทุนในหุ้น 10 ตัวแบบ Equal Weight คือลงทุนในสัดส่วนเท่า ๆ กันหมดตัวละประมาณ 9% ถือว่าหายากที่เราจะมีโอกาสลงทุนในหุ้นชั้นนำเหล่านี้ผ่านกองทุนในสัดส่วนที่สูงแบบนี้

The Trend Following Investor

Source: FINNOMENA FUNDS, Bloomberg as of 21/11/2022

เมื่อเจาะเข้าไปจะพบอีกว่าหุ้นใน MEGA10-A เป็นสัดส่วนสำคัญของดัชนีหลักในสหรัฐฯ ซึ่งหุ้นสหรัฐฯ มีลักษณะแบบ “รวยกระจุก จนกระจาย” พูดง่าย ๆ ว่าหุ้นที่คุณภาพดีจริง ๆ นั้นกินสัดส่วนตลาดไปค่อนข้างเยอะ 

ทำให้สัดส่วนของ MEGA10-A คิดเป็น 24% ของ S&P 500 คิดเป็น 39% ของ NASDAQ 100 และคิดเป็น 20% ของ Dow Jones เท่ากับว่าเราไม่ต้องไปลงทุนในกองทุนดัชนีก็ได้ เพียงแต่ต้องมองหากองทุนคุณภาพดีแล้ววิ่งให้ชนะตลาด ซึ่งสามารถหาได้จาก MEGA10-A

The Trend Following Investor

Source : FINNOMENA FUNDS, Talis, Bloomberg as of 05/07/2023

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ต้นปี 2023 ผลตอบแทนของกองทุนบวกมาแล้วกว่า 40% จากธีม AI Bloom ที่ทำให้หุ้นส่วนใหญ่ในพอร์ตได้รับประโยชน์ไปเต็ม ๆ 

ถามว่าถ้าเข้าซื้อตอนนี้แพงไปหรือยัง? ถ้าใครเป็นสายที่เชื่อมั่นว่า AI มาแน่ ๆ อยากโตไปกับหุ้น Top 10 Brands อยากลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ แนะนำว่ายังสามารถทยอยลงทุนไปยาว ๆ ได้ แต่ถ้าใครอยากเพิ่มความมั่นคงเข้าไปอีกหน่อย ผมมีตัวเลือกอีกหนึ่งกองทุนที่น่าสนใจไม่แพ้กันมาแนะนำ 

สามารถศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/fund/ 

AFMOAT-HA กองหุ้นป้อมปราการ ฝ่าทุกสภาวะเศรษฐกิจ

AFMOAT-HA เป็นกองทุนหุ้นสหรัฐฯ ที่เหมาะกับตอนนี้ที่เศรษฐกิจยังคงผันผวน โลกเอาแน่เอานอนไม่ได้ เราจึงต้องมองหาหุ้นป้อมปราการที่มีคุณภาพดี และมีความแข็งแกร่งทนทานต่อปัจจัยภาพนอกได้ด้วย

The Trend Following Investor

Source : Fund Fact Sheet VanEck Morningstar Wide Moat as of 31/04/2023

คอนเซ็ปต์การคัดเลือกหุ้นป้อมปราการแบบ MOAT มีหลักคิดอยู่ 5 อย่าง ได้แก่

  1. Intangible Assets คือ การมี Brand Value ที่ผู้คนให้ความสนใจ ต้องเป็นเบอร์ต้น ๆ ในอุตสาหกรรมนั้น เช่น เวลานึกถึงสมาร์ทโฟนต้องเป็น Apple หรือพูดถึงแบรนด์ด้านกาแฟก็ต้องเป็น Starbucks 
  2. Switching Cost คือ เมื่อผู้บริโภคตัดสินใจซื้อแล้วจะเปลี่ยนใจไปใช้สินค้าหรือบริการของเจ้าอื่นได้ยาก อาจจะมาจากต้นทุนในการเปลี่ยนที่สูงหรือปัญหาเยอะวุ่นวาย ตัวอย่างเคสคลาสสิคอย่างการใช้ Microsoft Office ในบริษัท เมื่อได้ลองใช้ไปแล้วการจะกลับตัวไปใช้ผลิตภัณฑ์อื่นนั้นคงเป็นไปได้ยาก
  3. Network effect คือ ต้องมีจำนวนผู้ใช้เติบโตเป็นวงกว้างจนเกิดการบอกต่อไปเรื่อย ๆ  ตัวอย่างเช่นกรณีของ Facebook เมื่อสัก 10 ปีก่อน ซึ่งเติบโตจาก Users ที่แพร่กระจายจากเพื่อนสู่เพื่อน ยิ่งมีคนใช้งานมากเท่าไหร่ คนอื่นก็อยากใช้ตามมากขึ้นเท่านั้น
  4. Cost advantage คือ เมื่อธุรกิจมีขนาดใหญ่ก็จะมีความได้เปรียบทางด้านราคาผ่านต้นทุนที่ต่ำกว่าคู่แข่ง หรือ Economies of scale และอาจนำไปสู่การตั้งราคาในระดับที่ได้เปรียบหรือถูกกว่าคู่แข่ง เช่น Walmart ค้าปลีกอันดับ 1 ในสหรัฐฯ ที่มีจุดเด่นในการขายสินค้าราคาถูกจนค้าปลีกรายอื่นแข่งขันได้ลำบาก 
  5. Efficient scale คือ เรื่องของเงินทุนที่ทำให้คู่แข่งเข้ามาแข่งขันได้ยากลำบาก เช่น ธุรกิจสายการบิน American Airlines ที่หากสายการบินหน้าใหม่ต้องการเข้ามาแข่งขัน ก็ต้องใช้เงินทุนมหาศาล แลกกับปริมาณเที่ยวบินที่มีอยู่จำกัด จึงอาจไม่คุ้มค่าที่จะลงแข่งในสนามธุรกิจนี้

นโยบายการลงทุนของ AFMOAT-HA เป็น Feeder Fund ที่จะเข้าไปลงทุนในกองทุนหลัก VanEck Morningstar Moat ETF เน้นลงทุนในบริษัทที่ได้เปรียบในการแข่งขัน มีผลตอบแทนจากเงินลงทุนมากกว่าต้นทุน

The Trend Following Investor

Source : Fund Fact Sheet VanEck Morningstar Wide Moat as of 31/04/2023

หน้าตาของหุ้นในพอร์ตจึงผสมผสานไปด้วยหุ้นขนาดใหญ่ และหุ้นขนาดเล็กที่มี Valuation น่าดึงดูด

ที่สำคัญคือในตอนนี้มูลค่าของดัชนี Nasdaq/Russell 2000 อยู่ในระดับสูงสุด All Time High เทียบเท่ากับช่วงวิกฤต Dot Com แปลว่านี่เป็นเวลาที่หุ้นเทคโนโลยีแพงกว่าหุ้น Small Cap. เป็นอย่างมาก ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าความถ่างออกตรงนี้ จะดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ เพราะกระแส AI Boom จริงหรือไม่

แต่สิ่งที่เห็นกับตาคือ Russell 2000 ที่เป็นตัวแทนของหุ้นขนาดเล็กในสหรัฐฯ มีมูลค่าถูกที่สุดในรอบ 20 ปีเมื่อเทียบกับหุ้นเทคโนโลยี แสดงว่า “เพชรในตม” อาจจะซ่อนอยู่ในหุ้นกลุ่มนี้ด้วย 

The Trend Following Investor

Source : Fund Fact Sheet VanEck Morningstar Wide Moat as of 31/04/2023

ข้อดีของวิธีการคัดเลือกหุ้นแบบ AFMOAT-HA นั้นอนุญาตให้เราสามารถมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นขนาดเล็กในสหรัฐฯ ด้วย และสามารถสร้างผลตอบแทนได้ ซึ่งที่ผ่านมากองทุนได้มีการปรับเปลี่ยน Sector ได้ตามสภาวะเศรษฐกิจ เพื่อสร้างสมดุลพอร์ตใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา

The Trend Following Investor

Source : Vaneck as of 31/03/2023

และปีนี้ก็เป็นอีกปีที่ Morningstar Wide Moat สามารถสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มในระยะยาวได้มากกว่าดัชนี S&P 500 และ Morningstar US Funds Large Blend

ศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/fund/ 

สุดท้ายนี้คำถามที่ว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นไหม พอร์ตการลงทุนของเราจะโตไหม ผมคิดว่าส่วนหนึ่งที่สำคัญคือทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งวันนี้ค่อนข้างชัดแล้วว่าสหรัฐฯ อาจจะไม่ Recession เพราะฉะนั้น อย่าพลาดโอกาสที่จะวิ่งไปพร้อมหุ้นสหรัฐฯ กันยาว ๆ ด้วยกองทุน 2 สไตล์แต่แข็งแกร่งเหมือนกัน จาก บลจ. ทาลิส นั่นคือ MEGA10-A และ AFMOAT-HA 

Bank – The Trend Following Investor


คำเตือน

ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนนี้ลงทุนกระจุกตัวในสหรัฐอเมริกา จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากกองทุนมีการป้องกันความเสี่ยงบางส่วน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by Krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

TSF2024