เมื่อวันจันทร์ที่ 2 มิ.ย. 2023 ที่ผ่านมา ดัชนี S&P 500 ผ่านจุดเปลี่ยนสำคัญของรอบวัฏจักรรอบนี้ก็ว่าได้ นั่นเพราะ ที่การปิดตลาดระดับ 4,298 จุด มันเป็นการปิดเหนือแนวต้านสำคัญในแนวโน้มขาลง คือ Fibonacci Retracement 61.80% ที่ระดับดัชนี 4,318 จุด

ย้อนกลับไป ทำไมผมถึงบอกว่า ตรงจุดนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ก็ลองย้อนไปดูช่วงวิกฤตโควิด-19 ดัชนี S&P 500 ร่วงลงไปทำจุดต่ำสุดวันที่ 23 มี.ค. 2020 ปิดตลาดที่ระดับ 2,237.40 จุด ก่อนค่อย ๆ รีบาวน์กลับมาได้ และขึ้นมาชนแนวต้าน Fibonacci Retracement 61.80% 2 ครั้ง คือ วันที่ 29 เม.ย. 2020 และวันที่ 12 พ.ค. 2020 ก่อนจะสามารถผ่านได้ในครั้งที่ 3 และกลายเป็นขาขึ้นที่ชันที่สุดรอบหนึ่งในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นสหรัฐฯ

ถ้ากลับไปไกลกว่านั้นอีกนิด ก็คือ ปี 2019 ช่วงไตรมาส 3/2018 ที่ อดีตปธน.ทรัมป์ เริ่มก่อสงครามการค้ากับจีน ตอนนั้น ทำตลาดหุ้นตกใจ S&P 500 ร่วงไปลง -20% จากจุดสูงสุด ลงไปทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 2,351 จุด เมื่อวันที่ 24 ธ.ค. 2018 แต่หลังจากฝุ่นเริ่มจาง ตลาดก็ดีดกลับมา แล้วสามารถผ่าน Fibonacci Retracement 61.80% ได้แบบไม่หันกลับมาคือ วันที่ 11 ก.พ. 2019 เป็นขาขึ้นยาว ๆ จนกระทั่งไปเจอวิกฤตโควิดช่วงไตรมาส 1/2020 นั่นเอง

สัญญาณทางเทคนิคน่าสนใจก็จริง แต่ความเสี่ยงการชะลอทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ รออยู่ข้างหน้าจริง ๆ ไหม?

คำตอบคือ จริงครับ เพราะ การที่คณะกรรมการเฟดยังคงส่งสัญญาณสู้กับเงินเฟ้ออย่างต่อเนื่องโดยไม่รีบที่จะลดดอกเบี้ยลงในเร็ววัน ลองคิดแค่นี้ว่า คนเคยฝากเงินได้ดอกเบี้ย 1% เมื่อปีที่แล้ว วันนี้ได้ดอกเบี้ย 5% เราก็คงมีความคิดจะไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงน้อยลง

กลับกัน คนเคยกู้มาลงทุนธุรกิจ ก่อนหน้านี้ จ่ายดอกเบี้ยแค่ 1% แต่มาวันนี้จ่ายดอกเบี้ยไม่ต่ำกว่า 6% ความคิดจะกู้มาลงทุนก็ลดลง แถมเงินกู้เดิม ก็ต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มด้วย

ดังนั้นภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงจากการค้างดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับสูงแบบนี้แน่นอน ไม่ได้บอกว่า หุ้นขึ้น เพราะเศรษฐกิจดีนะครับ

สัญญาณทางเทคนิคบอกขึ้น แต่เศรษฐกิจยังมีแนวโน้มชะลอ แล้วเอายังไง?

มีบทวิเคราะห์จาก Zacks Investment Research ออกมาช่วงต้นสัปดาห์ ซึ่งมีความน่าสนใจมากๆเขา ขอสรุปให้เข้าใจง่าย ๆ ตามนี้

1. การปรับตัวขึ้นมาของดัชนี S&P500 ครั้งนี้ ไม่ได้เป็นการขึ้นทุกกลุ่มอุตสาหกรรม โดยกลุ่มนำตลาด เขาเรียกว่า “The Big 7 Tech” หรือ หุ้นเทคยักษ์ใหญ่ 7 ตัวในสหรัฐฯ ประกอบไปด้วย Apple, Microsoft, Alphabet, Amazon, NVidia, Tesla และ Meta

2. โดยหุ้นเทค 7 ตัวนี้ คิดเป็นสัดส่วนต่อ market cap ของ S&P500 สูงถึง 27.5% โดยกำไรของหุ้น 7 ตัวนี้รวมกัน คิดเป็นสัดส่วน 16.2% ของกำไรบริษัทใน S&P500 ทั้งหมดรวมกัน แสดงให้เห็นว่า เป็นกลุ่มหุ้นที่มีอิทธิพลสูง ทั้งในแง่ขนาดมูลค่ากิจการ และ ความสามารถในการทำกำไร

3. แถมคาดการณ์กำไรของหุ้น Big 7 Tech นี้ จะโตนับตั้งแต่ไตรมาส 2/23 จนถึง 4/23 อยู่ที่ +6.1% , +8.6% และ +10.9% ตามลำดับ แปลว่า กำไรโตดีกว่า GDP ของสหรัฐฯ ในระยะยาว

4. ซึ่งถ้าเทียบกับ S&P 493 (หรือ ตัดหุ้น 7 ตัวใหญ่นี้ออกจากการคำนวณ) พบว่า การเติบโตของยอดขายและกำไร หายไปเยอะเลย โดยนับตั้งแต่ไตรมาส 2/23 จนถึง 4/23 กำไรเหลือโต -1.3% , -0.3% และ +1.8% ตามลำดับ จะเห็นว่า หายไปเยอะเลย จะเห็นว่า การเติบโตของกำไรในหุ้น S&P500 exclude Big 7 Tech ออกไปนั้น ใน 2 ไตรมาสข้างหน้า ติดลบนะครับ

ที่ Zack Investment Research ออกบทวิเคราะห์นี้ออกมา ก็เพื่อจะบอกว่า หากดูในรายละเอียด หุ้น Elite Club ทั้งหลาย หรือ Big 7 Tech เหล่านี้ ไม่ได้มี Outlook ในอนาคตที่น่าเป็นห่วงเท่ากับหุ้นตัวอื่น ๆ

ซึ่งมันก็อาจจะพอวิเคราะห์ได้มุมหนึ่งว่า หากจะมีใครที่ได้ประโยชน์จากธีม AI หรือ Artificial Intellience จริง ๆ ก็คงต้องเป็นเหล่าบริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่ ซึ่งมีข้อมูลฐานลูกค้าจำนวนมหาศาลที่มีประโยชน์ต่อการนำมาวิเคราะห์และต่อยอดธุรกิจได้ดีกว่าบริษัทขนาดกลาง ขนาดเล็ก ที่มีฐานข้อมูลไม่เยอะเท่านะครับ

แล้วซื้ออะไรดี ที่มีหุ้น Big 7 Tech?

ถ้าเป็นกองทุนรวม แนะนำกองทุน MEGA10-A จาก บลจ. ทาลิส ซึ่งมีทั้งคลาส SSF & RMF ให้ลงทุนกันยาว ๆ ด้วย

สาเหตุเพราะ นโยบายของกองทุน เน้นลงทุนในหุ้น 10 ตัว เท่านั้นในแต่ละช่วงเวลา โดยต้องเป็นหุ้นที่เป็นระดับ Global Brand ที่คนทั่วไปรู้จัก จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ มีมูลค่ากิจการที่สูง ความสามารถในการแข่งขันที่ดี

ซึ่งหุ้น 10 ตัว ที่ผู้จัดการกองทุนคัดเลือกมานี้ มีถึง 6 ตัวที่อยู่ในกองทุน MEGA10-A

และ ค่อนข้างชัดว่า ผลการดำเนินงานของ MEGA10-A นั่น ฉีกจากดัชนี S&P500 แบบเห็น ๆ

ลงตอนนี้เลย ไม่แพงเกินไปหรอ?

แพงครับ ถ้าเทียบกับที่เขาวิ่งมาแล้วตั้งแต่ IPO เมื่อปลายปีที่แล้ว

แต่ถ้ามองอดีตให้ไกลกว่านั้น จะเห็นว่า หุ้นที่สามารถทำกำไรได้ในระยะยาวได้ดี ก็ต้องมีจุดแข็ง ที่คู่แข่งตามยังไงก็ตามไม่ทัน ไม่ว่าจะเป็น นวัตกรรม, ข้อได้เปรียบจากขนาด, เป็นแบรนด์ที่มีอิทธิพลต่อโลก

Mr.Messenger รายงาน

คำเตือน

การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำควรเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”