สืบเนื่องจากวันนี้ผมพาครอบครัวไปรับประทานอาหารกลางวันที่เซ็นทรัล พระราม 3 และมีโอกาสได้เดินสำรวจร้านหนังสือ Se-ed ในช่วงเวลาสั้นๆ ภาพที่ผมเห็นก่อนเดินออกจากร้านมันทำให้ผมฉุดคิดขึ้นมาหลายอย่างทีเดียว ภาพนั้นก็คือ เด็กวัยรุ่นผู้ชาย ดูจากส่วนสูงและอายุแล้ว น่าจะเรียนอยู่ชั้น ม.ปลาย แต่หนังสือหลายเล่มที่อยู่ในมือของเด็กคนนี้เพื่อรอคิวจ่ายเงิน เป็นหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นถึง 3 เล่มด้วยกัน (ไม่มีหนังสือผม T_T)
เห็นแบบนี้ ผมก็อยากจะเตือนไปถึงน้องๆ หรือ ผู้ปกครองที่เห็นว่า ลูกๆของท่านสนใจการลงทุนในตลาดหุ้น ว่า…. จงซื้อหนังสือของ Mr.Messenger!!!
555+ ไม่ใช่ๆ ผมแค่อยากให้สำรวจ และอยากให้คิดให้รอบคอบก่อนเข้ามาลอง
คิดถึงตอนเราจะเดินทางต่างจังหวัดไกลๆโดยใช้รถนะ
1) เริ่มแรก เราต้องสำรวจรถ เช็คเครื่องยนต์ เช็คลมยาง เช็คน้ำมัน ดูความพร้อมทุกด้าน บางคน Safety First ก็เอาเข้าศูนย์บริการเช็คแบบ 360 องศากันเลย ก็ถือเป็นเรื่องที่ดี
2) ขั้นต่อไป พอรถเราพร้อม เราก็ต้องดูว่าตัวเราเองพร้อมไหม ถ้าไม่ป่วยก็โอเคร แล้วก็ไปปรับกระจกมองข้าม ปรับเบาะที่นั่งให้เหมาะและให้เราถนัดที่สุดก่อน ดูว่าเรามั่นใจกับท่านั่งแบบไหน และต้องให้ปลอดภัย เห็นรถทางซ้าย ทางขวา และด้านหลัง นี่คือการสำรวจตัวเอง เข้าใจตนเอง ทำให้ตัวเราเองอยู่ในสภาวะที่พร้อมที่สุด
3) ถัดมา ก็ควรศึกษาเส้นทางว่าจะไปทางไหนถึงประหยัดระยะทาง ประหยัดเวลา หรือ จะผ่านที่เที่ยวก่อนถึงที่หมายตรงไหนอย่างไร ก็ค่อยว่ากัน แต่ก็ควรจะคิดวางแผนกันไว้ล่วงหน้า
จะเริ่มต้นลงทุน มันก็มีขั้นตอนไม่ต่างกันกับการจะออกเดินทางไกลๆที่เราต้องวางแผนไว้แต่เนิ่นๆ
การศึกษาและเข้าใจถึงบริษัทหรือหุ้นที่เราไปขุดคุ้ยข้อมูลมานั้น มันเป็นแค่ปัจจัยส่วนหนึ่งของการลงทุน แต่จะไปให้ถึงเป้าหมาย มันต้องมีองค์ประกอบเพิ่มเติมบางอย่างด้วยนะครับ
การเริ่มต้นลงทุนโดยลืมสำรวจมุมอื่นๆไป มันก็เหมือนเราเรียนขับรถมาอย่างดี แต่ดันเช็คเครื่องยนต์ไม่เป็น พอออกสตาร์ทไป รถตายกลางทาง ก็กลายเป็นความผิดของคนอื่น บอกว่ารถยี่ห้อนี้ห่วยบ้าง ถนนมันไม่ดีบ้าง โชคร้ายบ้าง ซึ่งจริงๆแล้ว มันก็อาจเป็นอย่างนั้นครับ แต่เราจะพูดมันได้เต็มปากมากขึ้นว่าเป็นความผิดของคนอื่น ก็ต่อเมื่อเราสำรวจความพร้อมของเราจนแน่ใจจริงๆแล้ว และถึงเราจะสำรวจมันดีแล้ว แต่มันดันเกิดข้อผิดพลาด เราก็ไม่ควรเอาอารมณ์มาอยู่เหนือเหตุผลอยู่ดี
แล้วมุมไหน องค์ประกอบอะไรที่ควรรู้เพิ่มเติมสำหรับมือใหม่?
อย่างแรกเลย ก่อนจะลงทุน ต้องมีเงินออมครับ
มือใหม่ส่วนใหญ่ พอมีเงินออมได้ซัก 5 หมื่น หรือ แสนเนิงปั๊บ ก็คิดจะโยนเงินก้อนนี้เข้าไปเปิดบัญชีทันที ซึ่งถือเป็นความคิดที่ผิดเอามากๆ เพราะอะไรนะหรอ? ก็เพราะการลงทุนในหุ้น มันคือการใช้ประโยชน์จากเวลาที่ผ่านไปให้ได้มากที่สุด แต่การที่มือใหม่ไม่มีเงินเหลือซักนิดในกระเป๋า และเอาเงินทั้งชีวิตมาฝากไว้ในตลาดหุ้นนั้น มันทำให้ความไม่แน่นอนในอนาคตสูงขึ้นทันที ยกตัวอย่างนะครับ มือใหม่ซื้อหุ้นเข้าพอร์ตไป 2 ตัว กะถือยาวซักปีนึง แต่ผ่านไป 3 เดือน หุ้นกลับยังขาดทุน เพราะงบระยะสั้นไม่ดี แล้วดันมีปัญหาต้องใช้เงินฉุกเฉินขึ้นมา สิ่งที่เขาจะทำก็คือ ขายหุ้นออกมา แล้วเอาไปใช้อย่างที่อยากใช้ ความเสี่ยงก็คือ สมมติหุ้นมันขึ้นไปตอนที่เราถอนเงินมา เราจะเอายังไง … เห็นไหมครับ แผนลงทุนระยะยาวสับสนขึ้นมาทันที ดังนั้น ย้ำเลยครับ แบ่งเงินออมฉุกเฉินส่วนหนึ่ง และแบ่งเงินลงทุนอีกส่วนหนึ่ง อย่าให้มันเป็นก้อนเดียวกัน ไม่งั้นชีวิตลำบากแน่นอน
อีกอย่างก็คือ การประเมินความเสี่ยงของตัวเอง
มือใหม่มักลืมไปว่า “หุ้น” เป็นแค่หนึ่งในหลายๆสินทรัพย์ที่สามารถสร้างผลตอบแทนให้เราได้ แน่นอนละว่ามันผลตอบแทนดีมากๆเมื่อเทียบกับการลงทุนประเภทอื่น และแน่นอนละว่ามันมีสภาพคล่องสูง และใช้เงินลงทุนต่ำกว่าการลงทุนบางประเภท แต่ที่คุณควรเข้าใจก็คือ ตลาดหุ้น ไม่ใช่ตลาดสำหรับทุกคน และมันเสี่ยงกว่าการลงทุนประเภทอื่นๆ (ถ้ามือใหม่ไม่เข้าใจมันอย่างดีพอ) ดังนั้น ประเมินความเสี่ยงตัวเองเสียครับ เราอาจจะพบว่า ตัวเองไม่จำเป็นต้องเอาเงินลงทุนทั้งก้อนที่มีไปลงทุนในหุ้นทั้งหมด ก็สามารถบรรลุเป้าหมายได้ด้วยการแบ่งไปลงทุนในอสังหาฯเก็บค่าเช่า และเอาดอกผลจากตราสารหนี้ธรรมดา ก็ทำให้กินอิ่มนอนหลับ และมีคุณภาพชีวิตที่ดี ก็เป็นไปได้ อยากเสี่ยง อยากรวย แต่พอขาดทุนมาที ชีวิตเหมือนพังทลาย ใครเป็นแบบนี้ นั้นเป็นเพราะคุณลืมประเมินความเสี่ยงตัวเองครับ กลับมาทำตอนนี้แล้วเริ่มต้นใหม่ ยังไงก็ไม่สายหรอก
เรื่องทดสอบระดับความเสี่ยงที่เรารับได้เนี่ย หลายๆ บลจ. มีให้ทดสอบฟรีหน้าเว็ปไซส์
หรือลองเข้าไปที่เวปไซต์ของ tsi-thailand ก็มีครับ
เก่งในการเลือกหุ้น ในการวิเคราะห์งบ เป็นเรื่องที่ดีครับ
แต่เราต้องฉลาดในการรู้จักตัวเอง รู้จักวางแผนที่ใหญ่กว่าด้วย