SET Index ไหลต่ำกว่าเปิดต้นปี แล้วยังไงต่อ?

วานนี้ตลาดหุ้นไทยปิดภาคเช้าที่ 1,751.58 จุด และไหลลงต่อครึ่งบ่ายมาปิดที่ 1,724.98 จุด โดยร่วงไป -40.26 จุด และเท่ากับผลตอบแทนหุ้นไทย YTD ติดลบเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งผู้ขายกลายเป็นมาจากนักลงทุนสถาบันในประเทศ ที่ขายสุทธิวันนี้ไปถึง -3,859 ล้านบาท

อะไรทำให้ตลาดหุ้นไทยซึมลงแบบนี้ ลองมานั่งวิเคราะห์กัน

ที่ดูเหมือนจะเป็นปัจจัยลบมากที่สุด ก็เห็นจะเป็น

  1. การที่สำนักผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) เปิดเผยว่า สหรัฐฯจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนจำนวน 1,300 รายการ ซึ่งรวมไปถึงสินค้าเทคโนโลยีด้านอุตสาหกรรม สินค้าด้านการขนส่ง และสินค้าทางการแพทย์ ในอัตรา 25% ทำให้ตลาดกังวลว่าจะเกิดสงครามการค้าขึ้น
  2. และล่าสุดวันนี้ กระทรวงการคลังจีนได้เปิดเผยรายการสินค้าของสหรัฐที่จะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้า ซึ่งประกอบด้วยสินค้า 106 ประเภท รวมถึงถั่วเหลือง ยานยนต์ และเคมีภัณฑ์ ในอัตราเดียวกับสหรัฐฯที่ 25% เพื่อเป็นการตอบโต้มาตรการภาษีของสหรัฐฯ
  3. อีกด้านก็คือ “ยกเลิกค่าฟี” ที่ธนาคารพาณิชย์ต่างออกมาประกาศยกเลิกกันทีละธนาคาร ทำให้รายได้รวมของธนาคารน่าจะลดลงภายในปีนี้เป็นที่แน่นอน
  4. ในช่วงบ่าย SET Index ลงลึกมากขึ้นอีกก็เพราะในที่ประชุมคณะกรรมการธนาคารกสิกรไทย ได้มีมติอนุมัติการปรับเป้าหมายทางการเงินของธนาคารในส่วนการเติบโตของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย (Non-Interest Income Growth) สำหรับปีนี้ เป็นหดตัว -6 ถึง -8% ซึ่งถือว่าลดลงจากการคาดการณ์จากการประชุมครั้งก่อนว่าจะทรงตัว และลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์ในตลาดคาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ -3% ถึง -4% สิ่งนี้ อาจสะท้อนว่า เรากำลังจะเห็นกลุ่มธนาคาร เข้าสู่ “สงครามค่าฟี” เพื่อแย่งข้อมูลข้อมูลกันอย่างเต็มตัว
  5. รวมถึง รมว.คลัง ได้ให้ความเห็นว่า การปล่อยสินเชื่อให้กับรายใหญ่กับรายเล็กคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต่างกัน จึงต้องการเสนอ ธปท. ให้ธนาคารพาณิชย์ลดดอกเบี้ยเงินกู้ธุรกิจ SME เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และให้สามารถแข่งขันได้ ประเด็นนี้ หาก ธปท. รับลูกจริง ก็อาจกระทบ NIM ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์เช่นกัน

ประเด็นที่มีน้ำหนักมากหน่อย ดูเหมือนจะเป็นข้อ 3 และ ข้อ 4 เพราะ ถ้าเอาเฉพาะการปรับฐานของหุ้นธนาคารยักษ์ใหญ่ 3 ตัว คือ KBANK, SCB และ BBL มีผลต่อ SET Index ถึง -7.22 จุด จากที่ตลาดติดลบ -40.26 จุดวันนี้

จะเป็นยังไงต่อหลังจากนี้?

ประเด็นเรื่องความกลัวสงครามการค้าระหว่างชาติมหาอำนาจ กว่าเราจะเห็นบทสรุป ก็คงต้องรอไปถึงครึ่งเดือนหลังของเดือน พ.ค. นั้นแปลว่า ตลาดจะขาดความชัดเจน และมีความไม่แน่นอนจากปัจจัยดังกล่าวค่อนข้างสูง (ความผันผวนยังอยู่)

ส่วนประเด็นเรื่องสงครามค่าฟี อันนี้เกิดขึ้นแล้วไม่ต้องรอ และน่าจะทำให้นักวิเคราะห์ออกมาปรับประมาณการกำไรสุทธิของกลุ่มธนาคารลงได้ในอนาคต ส่วนลดลงเท่าไหร่ อันนี้ผมไม่ทราบครับ

มุมมองทางเทคนิคเป็นอย่างไร?

แนวรับที่น่าจะเป็นแนวรับสำคัญ และเป็นแนวรับทางจิตวิทยาด้วยก็คือ เส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน ของ SET Index อยู่ที่ 1,700 จุด
ถ้าหลุด 1,700 จุด ก็มีโอกาสลงไปได้ถึง 1,619.22 จุด

อย่างที่บอกมาตลอดนะครับ พอร์ตการลงทุนตอนนี้ ควรรักษาระดับให้สมดุล โดยไม่มีหุ้นในสัดส่วนเยอะเกินไป เพราะความผันผวนของตลาดกลับมาแล้วตั้งแต่เดือน ก.พ. แต่ขณะเดียวกัน ถ้ามีหุ้นน้อยเกินไป ก็มีต้นทุนค่าเสียโอกาส เพราะมุมมองส่วนตัวเชื่อว่า ระยะยาว หุ้นก็ยังเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด และความเสี่ยงที่ตลาดหุ้นจะเปลี่ยนจากกระทิงเป็นหมีในเวลานี้ ยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำอยู่

ที่มาบทความ : https://www.facebook.com/SinthornCafe/


แหล่งที่มาข่าว :-
https://www.bloomberg.com/news/articles/2018-04-03/u-s-china-tariff-list-takes-aim-at-technologies-beijing-covets
http://www.ryt9.com/s/iq10/2808174

คำเตือน
• การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน
• ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันผลการดำเนินในอนาคต
• การนำเสนอข้อมูลข้างต้น มิใช่การให้คำแนะนำการลงทุน
• การลงทุนใดๆ ต้องเกิดจากการศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลและตัดสินใจลงทุน บนความเสี่ยงที่รับได้ของนักลงทุนเอง
• ทางผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิ์ ไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียในทุกกรณีที่อาจเกิดขึ้นจากการให้ข้อมูลข้างต้น

Mr.Messenger รายงาน

TSF2024